จำนวนผู้เข้าชม

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวการเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวการเมือง แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

”สจ.กระวี“ทิ้งผู้เชี่ยวชาญ สว.เปิดตัวขสเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง สส.นครศรีฯ โซนเขาในนามภูมิใจไทย …….

 ”สจ.กระวี“ทิ้งผู้เชี่ยวชาญ สว.เปิดตัวขสเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง สส.นครศรีฯ โซนเขาในนามภูมิใจไทย

…….


ในห้วงสถานการณ์ทางการเมืองกำลังเดินไปสู่สนามเลือกตั้งตามไทม์ไลน์ 4 เดือนยุบสภา ที่พรรคภูมิใจไทย ทำ MOA ไว้กับพรรคประชาชน แน่นอนว่า เมื่อไทม์ไลน์ชัดเจนขนาดนี้ และเวลาก็มีไม่มากแล้ว นักเลือกตั้งก็วิ่งกันตีนขวิด เพื่อหาพรรคลงสมัคร ที่สำคัญพรรคนั้นต้องมีดีกรีพอที่ประชาชนจะตัดสินใจเลือกได้

ต้องยอมรับความจริงว่า สนามเลือกตั้งภาคใต้ จะเป็นสนามการช่วงชิงกันอย่างดุเดือดเข้มข้น ในสถานการณ์ที่เจ้าถิ่นเดิม พรรคเก่าเก่าอ่อนแอลงอย่างน่าเป็นห่วง มี สส.บางคนขอกระโดดหนี


จะหนีไปไหนละ ….พรรคที่น่าจะเข้ามาแทนที่คือพรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรมเป็นด้านหลัก แม้กล้าธรรมจะน้องใหม่ แต่ใจกล้า กล้าทำจริงๆ ทำจนชนะการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ พรรคภูมิใจไทยก็สดน่าดูกับการก้าวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เอาเป็นว่า หน้าตารัฐมนตรีโดยเฉพาะจากคนนอก ต้องปรบมือให้สำหรับการทาบทาม และได้รับการตอบรับ


กล่าวสำหรับนครศรีฯของพรรคภูมิใจไทย เริ่มลงตัวหมดแล้ว เหลือย่านทุ่งสง กับย่านฉวาง ที่ยังไม่ชัดเจนนัก


ผมไปค้นเจอ“ส.จ. กระวี หวานแก้ว” เป็นคนหนึ่งที่เสนอตัวลงสมัครเขตนี้ ก็บอกตามตรงว่า ยังไม่เคยเจอกัน ก็ไปสืบค้นหาประวัติ ปูมหลัง แนวคิดว่าเป็นอย่างไร ก็น่าสนใจ


กระวี หวานแก้ว เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.)นครศรีธรรมราช เขต อ.ฉวาง เป็นเวลา 7 ปี และลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2562 เพื่อหันมาลงสนามการเมืองในระดับชาติ ในฐานะผู้สมัคร สส. ในนามพรรคภูมิใจไทยในเขต 5 ในสมัยนั้น (ประกอบด้วย อำเภอพิปูน ฉวาง ถ้ำพรรณรา และทุ่งใหญ่) แต่การประลองสนามครั้งแรกยังไม่ประสบความสำเร็จ 


เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ (UNSW) ประเทศออสเตรเลีย และเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สมาชิกวุฒิสภา ณัฐกิตติ์ หนูรอด ซึ่งถือเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย และล่าสุดได้ลาออกจากผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.แล้ว เพื่อเตรียมตัวลงสมัคร สส.รอบใหม่


เมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯเขาเสนอตัวลงสมัคร สส.ในนามพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง แต่พรรคภูมิใจไทย อันเป็นการเลือกตั้งซ่อม

หลังจากอดีต ส.ส. มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล ถูก “ใบแดง” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง) แต่พรรคภูมิใจไทยส่งไสว เลื่องสีนิล (สามี สส. คนเดิม) และพ่ายแพ้ให้กับ ก้องเกียรติ์ เกตสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม

 

เลือกตั้งครั้งใหม่ สจ.กระวีก็มุ่งมั่นเสนอตัวอีก แต่ยังไม่รู้ว่า จะมีใครเป็นคู่แข่งตัวเลือกให้กับพรรค สุนทร รักษ์รงค์ ที่เคยลงสมัคร สส.เขตนี้ในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่เวลานี้สุนทรย้ายมาอยู่ภูมิใจไทยแล้ว แต่สุนทรในฐานะคนเกิดนอกเขตนี้ (เชียรใหญ่) ควรเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ แล้วสุนทรขยับไปลงบัญชีรายชื่อ ทางออกจะสวยงาม ไม่มีปัญหาแย่งเขตกันเอง


สำหรับเขตนี้ สจ.กระวีก็ต้องไปชนกับ สส.ก้องเกียรติ์ จากพรรคกล้าธรรม ซึ่งเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่เช่นกัน ส่วนประชาธิปัตย์ยังไม่มีข้อมูลว่าจะส่งใครลง


 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

 #การเมืองนครศรีฯ

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568

นริศ ขำนุรักษ์’ ทิ้ง ‘ประชาธิปัตย์’ ลือหึ่งจ่อนั่งเก้าอี้ รมต.โควต้ากลุ่ม ‘ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์’ ใน ครม.เสี่ยหนู

 นริศ ขำนุรักษ์’ ทิ้ง ‘ประชาธิปัตย์’ ลือหึ่งจ่อนั่งเก้าอี้ รมต.โควต้ากลุ่ม ‘ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์’ ใน ครม.เสี่ยหนู



เมื่อวันที่ 5 กันยายน มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แจ้งว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีต รมช.มหาดไทยและอดีต ส.ส.พัทลุง ซึ่งปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามภารกิจ ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้วเมื่อเช้าวันนี้ 


การลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ของนายนริศมีความเป็นไปได้ที่นายนริศจะไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในโควต้ากลุ่มของนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ที่นำ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งมาร่วมสนับสนุนนายอนุทิน


สำหรับสาเหตุที่นายศักดิ์ดารับตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้ เนื่องจาก นายศักดา ยังเป็น สส.และเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หากไปเป็นรัฐมนตรีข้ามพรรค ข้ามขั้วในครั้งนี้อาจเปิดช่องให้มีผู้ยื่นร้องเรียนเรื่องจริยธรรม นายศักดาจึงประสานงานกับนายนริศที่มีความสนิทสนมกัน ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีแทน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลและจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี


น่าสนใจสำหรับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของนายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.ประชาธิปัตย์ พัทลุง ซึ่งเป็นลูกชายของนายนริศ ได้โหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่เป็นไปตามมติพรรค ที่ให้งดออกเสียง

 #นายหัวไทร

 #โหวตเลือกนายก

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2568

ภูมิใจไทย กล้าธรรม จ่อเบียดเจ้าของสนามภาคใต้ ในห้วงเวลาที่ประชาธิปัตย์อ่อนแอ

 ภูมิใจไทย กล้าธรรม จ่อเบียดเจ้าของสนามภาคใต้ ในห้วงเวลาที่ประชาธิปัตย์อ่อนแอ

…….


กรรมการบริหารพรรคกล้าธรรม กำลังนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำ โดยสนับสนุนให้ “อนุทิน ชาญวีระกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี

ข่าวลือหน้าหูว่า พรรคกล้าธรรมอาจจะได้เก้าอี้มหาดไทยมานั่งด้วยซ้ำ อันเป็นการต่อรองเหมือนสมัยภูมิใจไทย เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ส่วนจะยังได้คุมกระทรวงใหญ่เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการต่อหรือไม่ จะได้เก้าอี้ตรงไหนเพิ่มขึ้นอีกไม้นานจะได้รู้กัน

การจัดวางบุคคลเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี จะเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ของพรรคด้วย ยุทธศาสตร์ของพรรคว่าจะคาดหวังในการเติบโตอย่างไร แน่นอนว่าภาคเหนืออย่างพะเยา อันเป็นจังหวัดบ้านเกิดของ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค พะเยาจึงเป็นจังหวัดเป้าหมาย มีการจัดวางให้น้องรัก “อัครา พรหมเผ่า” มานั่ง รมช.เกษตรฯ

ภาคใต้ก็น่าจะเป็นอีกสนามเลือกตั้งที่พรรคกล้าธรรมหวังจะเข้าไปมีส่วนแบ่ง 53-54 ที่นั่ง กล้าธรรมจะต้องได้มากกว่าเดิม เดิมมี “บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตสมบัติ เขต 8 นครศรีธรรมราช สส.กฤต ชนนพัฒน์ นาคสั้ว เขต 4 สงขลา และ สส.บีลา-สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ 

สส.นราธิวาส เขต 3

การตั้งเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคกล้าธรรมตั้งเป้าไว้ 10–12 ที่นั่งในภาคใต้ ถือว่าเป็น “ความหวังสูง” เพราะปัจจัยการเมืองภาคใต้ยังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนอยู่

1. โครงสร้างการเมืองภาคใต้ ประชาธิปัตย์ แม้จะอ่อนแรง แต่ยังมีฐานประเพณีในหลายเขต (โดยเฉพาะสงขลา พัทลุง นครศรีฯ ชุมพร) เป็นต้น

ภูมิใจไทย กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เครือข่ายท้องถิ่นและงบประมาณในช่วงเป็นรัฐบาลผลักลงพื้นที่อย่างหนัก

พลังประชารัฐ/รวมไทยสร้างชาติ อาจไม่แข็งแรงเท่าสองพรรคข้างต้น และกำลังอยู่ในภาวะล่าถอย

พรรคประชาชนมีแรงหนุนจากคนรุ่นใหม่ แต่ยังยากในพื้นที่ชนบทภาคใต้

ดังนั้นสนามภาคใต้กลายเป็น สงครามหลายเส้า พรรคเล็กใหม่อย่างกล้าธรรมจึงมีทั้ง “ช่องว่าง” และ “แรงต้าน” พร้อมกัน ช่องว่างที่พรรคอื่นเปิดไว้ ส่วนแรงต้านเกิดจากภาพลักษณ์ของแกนนำพรรคบางคน

2.จุดแข็งของกล้าธรรม มีคนรุ่นใหม่ (ช่น ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ที่ชาวางขลานิยมชมชอบ และกำลังแสดงบทสร้างบารมีชนกับผู้มากบารมีเดิม เป็นคนมีฐานะ กล้าได้กล้าเสีย อ่อนน้อมถ่อมต้นเข้าหาชาวบ้าน สร้างผลงานเป็นที่ยอมรับหรือผู้มากบารมี “กำนันศักดิ์-พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว สุราษฏร์ธานี ก็น่าจะร่วมกันผลักดันภารกิจของพรรคให้ลุล่วงได้ หรือถ้าเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่อย่างบิ๊กโอเข้ามาแสดงฝีมือก็จะเกิดประโยชน์กับการทำพื้นที่ เพราะเลือกตั้งครั้งหน้าบิ๊กโออาจจะเจอกระดูกก้อนใหญ่รออยู่

 ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้พรรคกล้าธรรมจัดวางคนรุ่นใหม่มีคุณภาพเข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี บวกรวมกับอาศัยฐานเสียงระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะเครือข่าย อบจ. อบต. ในบางจังหวัด ก็จะเป็นเครื่องมืออย่างดีให้คนทำพื้นที่สะดวกขึ้น

4. โอกาสของพรรคกล้าธรรมตามจังหวัดต่างๆ 

สงขลา 2

นครศรีฯ 2-3

พัทลุง 1

สุราษฏร์ธานี 2-3

ชุมพร 1

ตรัง / กระบี่ / ภูเก็ต แข่งยาก เพราะประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยยังแข็ง

จังหวัดชายแดนใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) แม้จะมีโอกาสน้อย แต่ไม่ควรลืมว่า สส.บีลา ก็ไม่ธรรมดา พรรคประจำถิ่นอย่างพรรคประชาชาติ ก็จะอ่อนแรงลง เมื่อวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา วางมือทางการเมืองกับช่วงวัยที่เริ่มร่วงโรย พรรคกล้าธรรมก็มีโอกาสแทรกเข้ามาได้

โดยสรุปความเป็นไปได้ 10–12 ที่นั่ง ถือว่าสูงเกินจริงในบรรยากาศการเมืองปัจจุบัน แต่ถามว่า โอกาสมีความเป็นไปได้ไหมจริง ตอบได้ว่ามี ขึ้นอยู่กับการคัดสรรคนมาลงสมัคร นโยบายพรรค และสำคัญคือยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของพรรค

 #นายหัวไทร

 #พรรคกล้าธรรม

 #สนามภาคใต้

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568

ตุลาการใหม่ ไม่สามารถร่วมพิจารณาคดี “อุ้งอิ๊ง”ได้

 ตุลาการใหม่ ไม่สามารถร่วมพิจารณาคดี “อุ้งอิ๊ง”ได้

…..



เพื่อไทยกระตู้วู้ เป็นกระต่ายตื่นตูน แค่ได้อ่านข่าวว่า มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งหมดวาระแล้ว แต่ร่วมพิจารณาตัดสินคดีแพทองธารด้วย ร่วมลงมติด้วย 6:3 น่าจะไม่มีอำนาจพิจารณา


ถึงขั้นลงมือลายรายชื่อ สส.ให้ครบ 20 คน เพื่อยื่นให้ศาลตีความ แค่เป้าหมายสะกัด “อนุทิน ชาญวีระกูล-ภูมิใจไทย” มาเป็นรัฐมนตรี

โดยคิดเอาเอง และไปอ่านข่าวผิดๆมาขับเคลื่อนทางการเมืองว่า วันที่ 29 สิงหาคม มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญคนใหม่แล้ว (นายสราวุธ ทรงศิวิไล)และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้มีผลวันที่ 29 สิงหาคม

แต่ข้อเท็จจริง….มีการโปรดเกล้าลงมาจริง และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจริง แต่ให้มีผลในวันที่ 30 สิงหาคม ไม่ใช่วันที่ 29


และโดยกฎหมายก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการทุกคนจะต้องเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนถึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 16 กำหนดให้ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตุลาการต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคํา

ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี

ต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวง

เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม

ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”

จึงเท่ากับว่านายสราวุธ ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้ อีกทั้งหากไม่ได้ร่วมพิจารณาคดีมาก่อน แม้จะมีการถวายสัตย์ฯแล้ว ก็ยังไม่สามารถร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาวินิจฉัยได้

ด้านแหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญอีกคน  ยืนยันว่าขณะนี้สำนักงานได้รับแจ้งว่ามีประกาศแต่งตั้งนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะมีประกาศแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ออกมาตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยนั้น แต่ตามขั้นตอนต้องรอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ เข้าพิธีรัก่ถวายสัตย์ฯก่อนเข้าทำหน้าที่ จึงจะสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้

ดังนั้น คดีดังกล่าวตุลาการฯคนใหม่ จะไม่สามารถร่วมลงมติพิจารณาวินิจฉัยได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นตุลาการฯที่ร่วมพิจารณาคดีมาตั้งแต่ต้นหรือตั้งแต่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

ยังมีความพยายามสะกัดอนุทิน ถึงขั้นคิดว่าจะยุบสภา มีการเตรียมการไว้แล้ว ถ้าพรรคประชาชนมีมติหนุนอนุทินก็จะยุบสภาทันที

ยุบสภาคิดให้ดี คิดให้รอบคอบ อ่านกฎหมายให้แตก

-นายกฯรักษาการมีอำนาจยุบสภาหรือไม่

-รับฟังคำเตือนคำแนะนำคนอื่นบ้าง อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกรอบคิดของตัวเอง และ สทร.

-กล้ายุบสภา ก็ต้องกล้ารับผิดชอบ รับผิดชอบทางการเมือง และทางสังคม ทางกฎหมาย ที่จะมีคดีความตามมามากมาย และถ้าเลือกตั้งไปแล้ว ศาลตัดสินให้เป็นโมฆะ งบจัดการเลือกตั้ง 6000 ล้าน ใครรับผิด

-มีแนวทางปฎิบัติของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ห้ามนำเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อยุติขึ้นทูลเกล้า แน่นอนว่า เรื่องอำนาจการยุบสภายังไม่มีข้อยุติว่า นายกฯรักษาการ มีอำนาจหรือไม่

อย่าคิดแค่เอาชนะครับ ให้คิดถึงผลที่จะตามมาด้วย มันจะสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง

 #นายหัวไทร

 #ยุบสภา

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

ประชาธิปัตย์เดินเกมพลาดกับการกอดเพื่อไทย ขอให้ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เต็มความสามารถนะ

 ประชาธิปัตย์เดินเกมพลาดกับการกอดเพื่อไทย ขอให้ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เต็มความสามารถนะ

……

“ไม่เหลือความเป็นคน” เป็นถ้อยแถลงของ “เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือนายกฯชาย เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นคนที่สองที่เป็นชาวสงขลา และเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

นายกฯชายต้องการจะสื่่อว่า รับไม่ได้ที่จะไปยกมือสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีระกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการ “ตัดบัวไม่เหลือเยื่อใย” ซึ่งในทางการเมืองเขาไม่ทำกัน

เข้าใจว่านายกฯชายยังติดใจประเด็นที่ดินรถไฟเขากระโดง ที่ตั้งธงตั้งแต่ต้นว่า จะต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ (โฉนด) ผู้ครอบครอง โดยเฉพาะบ้านใหญ่ “ชิดชอบ”

“ภูมิธรรม เวชชยชัย” เคยลั่นวาจาไว้ว่าสามารถเพิกถอนได้ภายในสองวัน แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมาสองเดือน ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ฝ่ายโน้นก็กวักมือเรียกอยู่ว่า ให้เพิกถอนเลย จะเป็นชั่วโมงไหน ก็เข้าใจว่า อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ก็ไม่กล้าลงนามยกเลิกโฉนดที่ดินอีก 900 กว่าแปลง เพราะศาลยังไม่ตัดสิน ศาลตัดสินเฉพาะ 35 แปลงที่เป็นคดีความฟ้องร้องกัน และเมื่อ 35 แปลงศาลตัดสินว่าเป็นที่ดินการรถไฟ กรมที่ดินก็เพิกถอนโฉนดหมดแล้ว อีก 900 กว่าแปลงถ้าจะเพิกถอนก็ต้องให้การรถไฟฯไปฟ้องศาล ซึ่งเกินกำลังการรถไฟ ต้องให้อัยการรับไฟฟ้องให้แทน

“ที่ดินหลวง ถ้าถูกบุกรุกก็ต้องยึดคืนมาเป็นของหลวงทุกตารางนิ้ว” นี้เป็นคำให้สัมภาษณ์จุดยืนของนายกฯชาย ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง แต่ยังทำไม่ได้ แม้จะมีโอกาสแล้วก็ตาม ก็เข้าใจได้ว่า เรื่องนี้ยังคาใจนายกฯชายอยู่

อีกประเด็นคือ คดีฮั้วเลือก สว.ซึ่งมีชื่อของคนในพรรคภูมิใจไทยติดร่างแหร่วมขบวนการอยู่ด้วยหลายคน น่าจะเป็นประเด็นใหญ่ที่นายกฯชายรับไม่ได้ จึงปิดประตูใส่หน้าพรรคภูมิใจไทย

แต่ซีกหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ยังมี “นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต สส.8สมัยพรรคประชาธิปัตย์สงขลา เดินนำหน้าเข้าพรรคภูมิใจไทยไปก่อนแล้ว แถมยังหอบหิ้วรายชื่อ สส.ประชาธิปัตย์ ไปร่วมสนับสนุน “อนุทิน” ไม่น้อยกว่า 4-5 คน

”ผมอยากจะเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า“

  นิพนธ์ บุญญามณี

 29 สิงหาคม 2568 นิพนธ์ แสดงจุดยืนชัดเจน

กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกเดินเกมกอดเพื่อไทย ก็ต้องเตรียมตัว ทำใจเป็นฝ่ายค้าน 4 เดือนก่อนยุบสภาตามสัญญา แต่ที่น่าเจ็บใจสำหรับนายกฯชาย คือเพิ่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยได้เพียงสองเดือน เก้าอี้ยังไม่ทันร้อน บารมียังแผ่ไม่เต็ม ที่ปรึกษาตั้งไว้เกือบร้อย ยังไม่ทันได้หารืออะไรมาก ช่วง 4 เดือนนี้ขอให้ทำหน้าที่เต็มความสามารถ เผื่อความนิยมจะฟื้นขึ้นมาบ้าง กับการ กอดเพื่อไทยไว้แน่น

ขอให้โชคดีมีความสุข สำหรับผมจะไปแคะไปแกะมาว่า ใครจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนบ้าง

 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

 #ครม.ใหม่

 #นายกฯชาย

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

โควต้ากล้าธรรม ใครจะเป็นรัฐมนตรี ฝากพิจารณา ”บิ๊กโอ“

 โควต้ากล้าธรรม ใครจะเป็นรัฐมนตรี ฝากพิจารณา ”บิ๊กโอ“

……


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคกล้าธรรม ที่มี ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค มี รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษา ให้การสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีระกูล“หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ฉีกตัวออกมาจากการสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างผิดคาด

ผิดคาดเพราะคิดกันว่า พรรคกล้าธรรม คือพรรคสาขาของเพื่อไทย ต้องสนับสนุนเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน แต่วันนี้พรรคกล้าธรรมหอบหิ้ว สส.26 คน พร้อมยกมือให้ ”อนุทิน“เป็นนายกรัฐมนตรี

มาถึงเวลานี้พรรคภูมิใจไทยน่าจะมีเสียงสนับสนุนเกิน 290 เสียงแล้ว รวมพรรคเล็กพรรคน้อย แต่ยังไม่รวมบางคนจากพรรคประชาธิปัตย์

292 +ประชาธิปัตย์ (บางส่วน) ก็เกินพอในการสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลแบบแข็งโป๊ก รัฐบาลเพื่อไทยมีเสียงเกินครึ่งแบบหมิ่นเหม่ สภาล่มแล้วล่มอีก ปิดประชุมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก็หลายครั้ง

ถ้ามาถัวเฉลี่ยจำนวน สส.:รัฐมนตรี จะพบสัดส่วนประมาณ 4.1 หรือ 4.2 คน : รัฐมนตรี 1 คน (หักสัดส่วนของพรรคประชาชนออก เพราะพรรคประชาชนไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ แต่อาจส่งนอมินีมาแทน

พรรคกล้าธรรม 26 เสียง น่าจะมีตำแหน่งรัฐมนตรี 5 คน 5 เก้าอี้ด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันมี ดร.นฤมล เป็นรัฐมนตรีว่าการศึกษา อรรถกร ศิริลัทธยากร เป็นรัฐมนตรีเกษตร และมีอัครา พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ

พรรคกล้าธรรมจึงน่าจะมีกำไรจากการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ได้รัฐมนตรีเพิ่มอีก 2 คน เป็น 5 คน หันซ้ายมองขวา ก็ยังไม่เห็นว่าจะเอาใครมานั่งเป็นรัฐมนตรี แต่ควรจะจัดสรรไปตามภูมิภาคต่างๆ เช่น ใต้ที่ยังไม่มีรัฐมนตรี หรืออิสานก็ยังไม่มีรัฐมนตรีของพรรคกล้าธรรม มีแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เพื่อเป็นการขยายฐานของพรรคจึงควรมีรัฐมนตรีกระจายไปตามภาคต่างๆด้วย

มองไปยังแกนนำพรรคกล้าธรรมภาคใต้ ก็ยังไม่เห็นตัวชัดเจนนัก สส.บีลา-สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ (ชื่อเล่น “บีลา”) 

รองหัวหน้าพรรคกล้าธรรม สส.นราธิวาส (เขต 3) 2 สมัย  

เป็นประธานคณะกรรมาธิการการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ ก็พอจะจัดวางได้ 

มีข่าวหนาหูว่า สุราษฏร์ธานี จะมีคนนอกเป็นรัฐมนตรีในนามพรรคกล้าธรรม เพราะได้ สส.มาหลายคน จึงเล็งไปยัง“พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว”แกนนำสุราษฏร์ธานี ก็เคยเป็นนายกฯอบจ.สุราษฏร์มา 1 สมัย เป็น ส.อบจ.และเป็นกำนันมาก่อน

ถ้านึกถึงคนรุ่นใหม่จริงๆก็มี “ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ”หรือ “บิ๊กโอ”ปัจจุบันอายุราว 44 ปี  

 เขาเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็น สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อ 27 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาด้วยคะแนนนำเกินหมื่นคะแนน เอาชนะมือเก๋า “ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์ ผู้เป็นพ่อตาจากพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยคะแนนท่วมท้นเกือบ 4 หมื่นคะแนน คงไม่ต้องกล่าวถึงที่มาของคะแนน วิธีการทำคะแนน

บิ๊กโอ เคยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.อบจ.เขตอำเภอฉวาง ปี 2566 ลาออกหวังจะลงสมัคร สส.แต่มีปัญหาขัดแย้งกับพ่อตา จึงไม่ได้ลงเลือกตั้ง เขาจึงตัดสินใจแยกทางเดินกับประชาธิปัตย์ บ่ายหน้าเขาพรรคกล้าธรรม และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมใจ

บิ๊กโอ เป็นคนรุ่นใหม่ มีฐานเสียงแน่นในพื้นที่ อ.ฉวาง นครศรีธรรมราช 

มีภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ไฟแรง

พรรคกล้าธรรมเน้นสร้างคนรุ่นใหม่และตัวแทนแนวความคิดใหม่ บิ๊กโอจึงอาจได้รับโอกาสในบทบาทที่ใหญ่ขึ้นทั้งในระดับพรรคและระดับชาติ

หากเขาทำงานได้ดีในสภาฯ และสะสมประสบการณ์การเมือง เขาอาจได้รับโอกาสก้าวขึ้นเป็นแกนนำคนรุ่นใหม่ภายในพรรค หรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ เช่น โฆษกพรรค หรือกรรมาธิการในสภา

ถ้าพรรคกล้าธรรม หวังขยายฐานภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครศรีธรรมราช จาก 1 เป็น 2 หรือ 3 ก็ควรสนับสนุนให้บิ๊กโอลงชิงในตำแหน่งที่สูงขึ้น เช่น รัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการ หรือ เลขาธิการพรรคในอนาคต

ด้วยวัยวุฒิคุณวุฒิ ถือว่า เหมาะสม ถ้าพรรคต้องการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาททางการเมือง  แม้ประสบการณ์ในการบริหารยังน้อย แต่เป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ มีที่ปรึกษาดีๆ เหมือนพรรคสนับสนุนอรรถกร ศิริลัทธยากร ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใหญ่ ก.เกษตรและสหกรณ์ มาแล้ว ส่วนจะเป็นกระทรวงไหน ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง

ฝากไว้ให้กรรมการบริหารพรรคกล้าธรรมพิจารณาคนรุ่นใหม่ ใจถึงครับ

 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

 #พรรคกล้าธรรม

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ฤา…ประชาธิปัตย์แตกอีกรอบ “นิพนธ์”โผล่ภูมิใจไทย หนุน “อนุทิน”

 ฤา…ประชาธิปัตย์แตกอีกรอบ “นิพนธ์”โผล่ภูมิใจไทย หนุน “อนุทิน”

…….

การปรากฏกายของ “นิพนธ์ บุญญามณี” อดีต สส.สงขลา 8 สมัยในนามพรรคประชาธิปัตย์ ในพรรคภูมิใจไทย ในสถานการณ์การเมืองร้อนว่าด้วยการวิ่งจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล

POLITICS: 'นิพนธ์' โผล่ให้กำลังใจ 'อนุทิน' ถึงพรรคภูมิใจไทย ย้ำไม่ได้มาในนาม ปชป. แต่คุยกับกลุ่มแล้ว

วันนี้ (29 ส.ค. 68) เวลาประมาณ 17:03 น ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายังที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากไปสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีระกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี


แม้นนิพนธ์ จะบอกว่าเดินทางมาเพื่อให้กำลังใจ เนื่องจากตนเองพูดคุยกับพิพัฒน์ รัชกิจประการ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นประจำอยู่แล้ว

แต่การเดินเข้ามาแม้นิพนธ์ จะไม่ได้เป็นสส. ในปัจจุบัน แต่การเดินทางมาครั้งนี้คงไม่เดินเข้ามามือเปล่าแน่ๆ อย่างน้อยก็มีรายชื่อ สส.ในสังกัดมายืนยันร่วมสนับสนุนด้วย เช่น สรรเพชญ บุญญามณี สมยศ พลายด้วง และอาจจะมีราชิต สุดพุ่ม สส.นครศรีฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ….รวมอยู่ด้วย


การปรากฏตัวของนิพนธ์ที่พรรคภูมิใจไทยในขณะที่อีกขั้วหนึ่งของ“พรรคประชาธิปัตย์” ยังหนุนขั้วเพื่อไทยเดิม นำโดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย หลังมีการยื่นข้อเสนอให้อยู่ร่วมขั้วรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่อโดยจะให้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพิ่มกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยไปร่วมหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ รร.ปรินเซส หลานหลวง เพื่อยืนยันการเป็นขั้วเดิม


แม้นฉากหน้าจะยังจับมือกันของซีกรัฐบาลเดิม แต่การไม่มีตัวแทนจากพรรคกล้าธรรม นั้นคือปัญหาของขั้วเพื่อไทย จับมือกันถ่ายรูปแถลงข่าวหน้าระรื่น แต่หน้าชื่นอกตรม บางคนหน้าเสียเดินคอตกเพราะเพิ่งได้ตำแหน่งใหญ่แค่สองเดือน รถนำขบวนกลับบ้าน น้ำมันยังค้างถังอยู่


ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนชัดแล้วว่า “นิพนธ์”หย่าร้างกับประชาธิปัตย์แล้ว


ฤา…ประชาธิปัตย์แตกอีกรอบกับการเดินเกมพลาด


 #นายหัวไทร

#ภูมิใจไทย #อนุทินชาญวีรกูล #ขั้วรัฐบาลใหม่

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“อนุทิน จับขั้วใหม่ ตั้งรัฐบาล” กล้าธรรม สลัดทิ้งเพื่อไทย

 “อนุทิน จับขั้วใหม่ ตั้งรัฐบาล” กล้าธรรม สลัดทิ้งเพื่อไทย

…..

การเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบสดๆ ร้อนๆ วันนี้คือ 29 สิงหาคม 2568 (2025) หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งไปด้วย

พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่รอช้าเดินเกมจับขั้วใหม่ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา (28 สิงหาคม) โดยร่วมกับ พรรคประชาชน (ปชน.) โดยมีเป้าหมายดันอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป     

 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทยคราคร่ำไปด้วยนักการเมืองจากหลายพรรค ทั้งจากซีกฝ่ายค้านเดิม และจากซีกรัฐบาลเดิม

วันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ สส.เพชรบูรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ภรรยาของสันติ พร้อมพัฒน์ ก็มา พร้อมพูดสั้นๆกับนักข่าวว่า พร้อมยกมือสนับสนุนอนุทินเป็นนายกฯ

รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมแถลงจุดยืนของพรรค สนับสนุนอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมยกเลิกการไปร่วมแถลงข่าวกับพรรคเพื่อไทย ที่ รร.ปรินเซทต์ หลานหลวง

นิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.ประชาธิปัตย์ อดีต รมช.มหาดไทยในโควต้าประชาธิปัตย์ เดินทางไปยังพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน แม้จะบอกกับนักข่าวว่า มาให้กำลังใจ เพราะคุยกับคุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ ประจำอยู่แล้ว


แต่ในข้อเท็จจริง นิพนธ์หอบหิ้วรายชื่อ สส.ประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง มากกว่าสองคน ที่พร้อมจะยกมือให้อนุทิน

แต่ที่น่าแปลกมากคือ มี สส.เพื่อไทยร่วม 10 คน เดินทางไปยังพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน เช่นเดียวกับสุชาติ ขมกลิ่น จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เดินทางไปยังพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่ไก่โห่ พร้อมข่าวว่า มีชื่อ สส.ติดมือไปด้วย 18-20 คน

สรุปโดยภาพรวมวันนี้

พรรคภูมิใจไทยน่าจะชิงการนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว รอสรุปผลการหารือกับพรรคประชาชนที่แถลงจุดยืนไว้แล้ว 3 ข้อ คือ ไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลใหม่ยุบสภาใน 4 เดือน มี สสร.มาจากการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องทำประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส.ซึ่งภายใต้เงื่อนไขที่ผูกมัดอยู่ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ พอสรุปได้ว่า พรรคภูมิใจไทย มี ส.ส. ประมาณ 68–69 ที่นั่ง, พลังประชารัฐราว 17–20 ที่นั่ง, พรรคประชาชนราว 142–143 ที่นั่ง 

สรุปสูตรพลิกขั้ว

……

สูตรพลิกขั้วชิงจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย เสนออนุทิน ชาญวีระกูล เป็นนายกรัฐมนตรี

-ภูมิใจไทย 69 เสียง

-ประชาชน 143 เสียง

-พลังประชารัฐ 20 เสียง

-รวมไทยสร้างชาติ 18 เสียง

-กล้าธรรม 26 เสียง

(ยังไม่รวม 12 เสียงของเพื่อไทย ที่อาจสนับสนุนด้วย) 288 เสียง 

 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

 #พลิกขั้วตั้งรัฐบาล

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2568

”อุ้งอิ๊ง-แพทองธาร" รอดหรือไม่รอด ลุ้นกันพรุ่งนี้

”อุ้งอิ๊ง-แพทองธาร" รอดหรือไม่รอด ลุ้นกันพรุ่งนี้

…..


ผมมานั่งใช้ดุลยพินิจถึงทางออกของประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ ชายแดน มันเหมือนมะรุมมะตุ้มกันเต็มไปหมด ประชาชนเริ่มเข้าสู่ภาวะอดอยาก ค่าครองชีพสูง ค่าแรงต่ำ การดำรงชีวิตยากไปหมด หันซ้ายมองขวาก็เต็มไปด้วยปัญหาสารพัด ไม่รู้จะเอาตัวรอดในวิกฤตนี้ได้หรือไม่ แต่จำเป็นต้อง “กัดก้อนเกลือกิน ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

มองไปที่ฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นกลไกหลักในการบริหารประเทศ หลายเดือนผ่านมา ก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันว่าจะมีช่องทางในการช่วยเหลือชาวบ้านได้ ค่าไฟฟ้า ค่าพลังงานที่สร้างราคาคุยกันไว้ก็เห็นสยบนิ่งไปกับการถูกบีบโดยทุนพลังงาน ดิ้นไม่ออกยิ่งดิ้นเกลียวยิ่งแน่นเข้ามา อันเกิดจากพรรคการเมืองก็ปฏิเสธระบบทุนไม่ได้ เพราะระบบการเลือกตั้งบ้านเราเดินไปสู่ Money politics ชาวบ้านทุกยาก เดือดร้อนแร้นแค้น เงิน 300/500 มาอยู่ต่อหน้าคว้าไว้ก่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกไปโรงเรียนรออยู่ เงินทุกบาทจึงมีความหมายสำหรับชีวิต

รัฐบาลก็ป้อแป้ๆ เหมือนมวยเมาหมด แต่พี่เลี้ยงก็ไม่ยอมโยนผ้า หมัดเด็ดในการน็อคก็ไม่มีหรือมีก็น้ำหนักไม่พอใจ

รัฐบาลนี้จะอยู่หรือไป จึงไม่ใช่มือในสภา (ฝ่ายค้าน/รัฐบาล) หรือมวลชนต่อค้านนอกสภา รอบทำเนียบ อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้เป็นชี้ตายออกมาอย่างไรกับข้อกล่าวหา ”อุ้งอิ๊ง-แพทองธาร“ นายกรัฐมนตรีละเมิดจริยธรรมร้ายแรงในการคุยกับฮุนเซนและคลิปหลุดออกมาจากฝ่ายฮุนเซน ซึ่งพรุ่งนี้ (29 สิงหาคม) ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัย

แนวทางของอุ๊งอิ๊งในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 แม้นในพรรคเพื่อไทยจะมั่นใจว่า ”รอด“ แต่อุ้งอิ๊งก็ไม่กล้าพอจะไปฟังคำตัดสินที่ศาล แต่ไปรอฟังผลอยู่ทำเนียบ สส.เพื่อนไทยก็ไม่มีใครไปศาลนัดรวมพบกันที่พรรคแล้วยกขบวนไปให้กำลังใจนายกฯที่ทำเนียบ

ลาออกก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ไม่ใช่ทางเลือกของเพื่อไทย อาจจะมั่นใจต่อการเจรจาต่อรอง หรือดีลต่างๆ

นักการเมืองและนักวิเคราะห์หลายรายประเมินว่า หากแพทองธารเลือกลาออกก่อนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นี่อาจเป็น “ทางออกที่ปลอดภัย” ที่จะช่วยลดแรงกระเพื่อมทางการเมืองและหลีกเลี่ยงการตัดสินที่อาจมาแรงเกินไป แต่อย่าลืมว่าไม่มีข้อบังคับใดเขียนไว้ว่า ลาออกแล้ว ศาลจะยกเรื่องให้ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา เช่น กรณี พิชิต ชื่นบาน ลาออกแล้ว แต่ศาลยังพิจารณา และตัดสิทธิ์ ”เศรษฐา ทวีสิน“ เพราะถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว ”อุ้งอิ๊ง“จึงลากตัวเองไปเสี่ยงเอาดาบหน้าดีกว่า

กรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด

หากไม่ลาออกก่อน ศาลอาจจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568ว่าการกระทำของแพทองธารเข้าข่าย “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ซึ่งหากศาลตัดสินว่า “ผิดจริง” จะทำให้เธอพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และส่งผลให้จุดจบทางการเมืองของเธออาจมาถึงในทันที  และต้องสรรหานายกรัฐมนตรีกันใหม่ ซึ่งเพื่อไทยมีแค่ชัยเกษม นิติศิริ เป็นตัวเลือกสุดท้าย

น่าสนใจว่าหากตัดสินว่า “รอด”ศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิด หรือผิดไม่ร้ายแรง อุ๊งอิ๊งมีโอกาสนั่งต่อในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ความท้าทายภายในพรรคเพื่อไทยและในรัฐบาลยังไม่จบง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องความไว้วางใจและแรงสนับสนุนที่สั่นคลอน     

การที่อุ้งอิ๊งเลือกใช้ภาษา “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” เป็นโล่ทางการเมือง เลือกใช้วลีนี้เพื่อชี้ว่าความผิดพลาดเกิดจากวัยและประสบการณ์ที่ยังไม่ชำนาญ ไม่ใช่มีเจตนาทุจริต แต่แตกต่างจากที่ทักษิณเคยใช้ว่า “บกพร่องโดยสุจริต”ซึ่งกลายเป็นปมทางวิชาการและสังคมต่อมา

คอการเมืองก็รอลุ้นอย่างเดียวว่าจะออกหัวหรือก้อย

 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

 # อุ้งอิ๊งจะรอดไหม

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ใครหน่อ ชวน ”นายกฯชาย“ เข้าพรรคประชาธิปัตย์

 ใครหน่อ ชวน ”นายกฯชาย“ เข้าพรรคประชาธิปัตย์

……


ต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์สักคนเป็นแน่แท้เอ่ยปากชวน “นายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง” เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์

ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนเพราะไปพบคลิปนายกฯชาย เผยแพร่ตอบโต้สนธิ ลิ้มทองกุล นักข่าวอาวุโส นักวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ อธิบายรายละเอียดในทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับย้ำว่า ถ้าไม่แก้ไขให้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม จะใช้ช่องทางกฎหมาย (ฟ้อง) สนธิ วันนี้วันที่ 17 สิงหาคม ยังไม่เห็นคลิปแก้จากสนธิ ยังไม่รู้ว่านายกฯชายตั้งทนายฟ้องสนธิแล้วหรือยัง จึงแค่อยากย้อนให้เห็นวิถีของนายกฯชาย


“เดชอิศม์ ขาวทอง” หรือ “นายกชาย”เกิดที่รัตภูมิ จังหวัดสงขลา สมรสกับนางสาวสุภาพร กำเนิดผล ในปี 2552 (ครั้งที่ 2) มีบุตร–ธิดารวมทั้งหมด 6 คน หนึ่งในนั้นคือ ศักดิ์สิทธิ์ ขาวทองสส.สงขลา เขต 9    พรรคประชาธิปัตย์

นายกฯชาย จบปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต จาก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)       

เดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองระดับท้องถิ่นด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง

เป็นสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา (ส.จ.) เขตอำเภอรัตภูมิ ได้รับเลือกเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (นายก อบจ.) ในยุคที่ยังเป็นการเลือกทางอ้อม 2 สมัย โดย สจ.เป็นคนโหวตเลือก

เข้าสู่การเมืองระดับชาติด้วยการลงสมัคร สส.สงขลา เขต 5 ในนาม พรรคไทยรักไทย ปี พ.ศ. 2548 แต่ไม่สำเร็จ ช่วงนั้นแข่งกับประพร เอกอุรุ จากพรรคประชาธิปัตย์

หลังจากนั้นถาวรก็ชักนำให้มาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2550 พร้อมกับการวางแผนให้ไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ทั้ง ชวน หลีกภัย นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ

นายกฯชาย ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสงขลา สมัยแรกในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2562 หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดล็อคให้มีการเลือกตั้งและอีกครั้งในปี พ.ศ. 2566       

ปี 2566 ถาวร เสนเนียม มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ต้องพ้นจากรัฐมนตรี และ สส. ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เขต 6 สงขลา นายกฯชายส่งภรรยาสุภาพร ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐส่ง “โบ๊ต-อนุกูล พฤกษานุศักดิ์“ ลูกชายหัวคะแนนของถาวร แน่นอนว่า ถาวรเป็นใจให้กับโบ๊ตมากกว่า จึงมีคำสบถจากนายกฯชายออกมาให้ได้ยินกัน อันเป็นประโยคที่ทำให้ ”ถาวร-นายกฯชาย“ ต้องแยกทางกันเดิน แต่นายกฯชายก็ยังสามารถหอบหิ้วภรรยาเข้าสภาได้ แต่หืดขึ้นคอ เลือกตั้งครั้งหน้า สุภาพรถ้ายังลงสมัครเขต 6 ก็ต้องชนกับโบ๊ตเหมือนเดิม แต่โบ๊ตย้ายไปอยู่พรรคกล้าธรรม ซึ่งกล้าทำจริงๆ โดยยังมี สส.ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว จากเขต 4 ข้ามมาช่วยทำอีกคน ก็น่าจะเป็นเขตเดือดของสงขลา

ภายในพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ. 2564 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แทนนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ขอลาออก ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน     

บทบาทในรัฐบาล นายกฯชายและคณะกรรมการบริหารได้ตัดสินใจนำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล สนับสนุนแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี และนายกฯชายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ในรัฐบาลชุด ครม.“แพทองธาร”     

เมื่อมีการปรับ ครม.วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ประชาธิปัตย์ยังยืนยันร่วมรัฐบาลต่อไป หลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัว และมีประกาศพระบรมราชโองการ แต่งตั้งให้นายกฯชายเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.มหาดไทย) ในรัฐบาลชุด ครม.“แพทองธาร 1/2 อันเป็นการยกเกรดตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

เดชอิศม์ ขาวทอง (“นายกฯชาย”) เดิมเคยลงเลือกตั้ง ส.ส. สงขลา ในนาม พรรคไทยรักไทย ปี 2548 แต่สอบตก

ต่อมาในปี 2550 ได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

ายกฯชายเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเป็นคนสงขลาคนแรกที่ไต่เต้าขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะวีระ มุสิกะพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรกที่เป็นคนสงขลา


ถ้านายกฯชายบอกว่าเขาจะเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรกจะทำให้ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ฟื้นฟูขึ้นมา เราจะรับฟังได้ไหม

 #นายหัวไทร

 #นายกฯชาย

 #ถาวรเสนเนียม

 #ประชาธิปัตย์

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ยุ่งตายห่า กู้เงิน 2000 ล้าน “สุพิศ”โกงหรือไม่เป็นเรื่องในอนาคตที่ต้องติดตาม

 ยุ่งตายห่า กู้เงิน 2000 ล้าน “สุพิศ”โกงหรือไม่เป็นเรื่องในอนาคตที่ต้องติดตาม

…….


น่าจะยินดียิ่งกับชาวสงขลา เมื่อสุพิศ พิทักษ์ธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) ให้คำมั่นต่อ สภา.อบจ.ว่า โครงการกู้เงิน 2009 ล้านบาท เป็นการกู้มาเพื่อการพัฒนา ไม่ใช่กู้มาเพื่อโกง

อบจ.สงขลาขออนุมัติต่อสภา อบจ.สงขลา ขอกู้เงินสองก้อนใหญ่ รวมแล้ว 2009 ล้านบาท เพื่อใช้ในภารกิจทำถนน ก้อนแรกกู้จากกองทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ก้อนที่สองกู้จากธนาคารออมสิน ก็เข้าใจว่า น่าจะได้มีการประสานกันไว้แล้วเป็นเบื้องต้น ส่วนการอนุมัติกู้ยังต้องผ่านการเห็นชอบจากบอร์ดของทั้งสององค์กร และต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ในฐานะผู้กำกับดูแล ซึ่งก็ไม่ง่าย

มาทำความรู้จักกับกองทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันก่อน บางคนอาจจะไม่รู้จัก

“กองทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด” (ก.ส.อ.) ซึ่งคือกองทุนในความดูแลของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)


โครงสร้างและส่วนเกี่ยวข้อง ก.ส.อ. จัดตั้งขึ้นตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้กำกับดูแลการบริหารกองทุน  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สังกัดกระทรวงมหาดไทย) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ด้านงบประมาณ การเงิน และพัสดุของกองทุน    


วัตถุประสงค์และหลักการสำคัญ คือเปิดโอกาสให้ อบจ. สามารถกู้เงินจากกองทุน เพื่อนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ โดยรายได้หรือเงินฝากของ อบจ. ที่นำมาสะสมไว้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนเป็นพื้นฐานในการคำนวณวงเงินกู้  โดยทั่วไป อบจ. สามารถกู้ได้ไม่เกิน 3 เท่าของเงินสะสมที่ฝากไว้กับกองทุน มีระบบกำหนด ดอกเบี้ยเงินกู้และผลตอบแทนจากเงินฝาก ที่ชัดเจน ตามเงื่อนไขของคณะกรรมการเงินทุนกำหนด


ตัวอย่างการใช้งานในเชิงปฏิบัติ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 มีการประชุมคณะกรรมการเงินทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ก.ส.อ.) ครั้งที่ 3/2567 เพื่อพิจารณาโครงการกู้เงินของ อบจ.อุบลราชธานี จำนวน 72 โครงการ ซึ่งเน้นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างหรือปรับปรุงถนนพื้นที่รับผิดชอบของ อบจ. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน


เงินของกองทุนส่งเสริมกิจการ อบจ.มาจากเงินสะสมของ อบจ.เอง ถ้ามีเงินเหลือจ่ายในรอบปีงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่จ่ายไม่ทันทุกปี ก็นำฝากไว้กับกองทุน เมื่อจำเป็นก็ขอกู้ได้ตามเงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ไม่เกิน 3 เท่าของเงินสะสม


การขอกู้จากกองทุน 1000 กว่าล้านบาทแสดงว่า อบจ.สงขลาต้องมีเงินสะสมฝากไว้ไม่น้อยกว่า 350 ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงไม่ทราบว่า อบจ.สงขลา มีเงินฝากสะสมอยู่เท่าไหร่


แต่ผมแปลกใจว่า ทำไมสุพิศถึงพูดว่า ไม่ใช่กู้มาโกง ทั้งๆที่ไม่มีใครถาม มันมีอะไรติดอยู่ในใจหรือเปล่า แต่น่าสนใจผลสำรวจของสำนักข่าวโฟกัสสงขลา เสียงท่วมท้นไม่เห็นด้วยกับการกู้เงิน 2009 ล้าน และไม่เชื่อว่าจะไม่มีการโกง


ประเด็นปัญหาคือถ้ากู้ได้ไม่ครบจำนวน 2009 ล้านบาท ผมว่า ส.อบจ.ทะเลาะกันตาย เพราะไม่ได้รับงบตามที่รับปากกันไว้ และ ส.อบจ.ส่วนใหญ่ไปบอกกล่าวกับชาวบ้านไว้หมดแล้ว จะสร้าง-ซ่อม ถนนสายนั้นสายนี้แล้วสุดท้ายไม่ได้ หรือได้ไม่เต็ม

“ยุ่งตายห่า” โค้วโต๊ะหมง ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ อดีตประธานสภาฯกล่าวไว้

สุพิศจะโกงหรือไม่โกง ไม่ได้อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การกระทำ ติดตามกันต่อไปในอนาคต

 # นายหัวไทร

 #อบจสงขลากู้2000ล้าน

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2568

จับตาสนามเล็กพัทลุง แต่ศึกสามเส้าใหญ่หลวงนัก

 จับตาสนามเล็กพัทลุง แต่ศึกสามเส้าใหญ่หลวงนัก

……


สนามเลือกตั้งไม่ใหญ่มากของพัทลุง แค่ 3 เขตเลือกตั้ง แต่ถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ของหลายพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์เจ้าถิ่นเดิม ภูมิใจไทย ผู้เข้ามาแทรกซึมยึดพื้นที่ หรือแม้แต่รวมไทยสร้างชาติ ที่เข้ามาในการเลือกตั้งครั้งแรกก็คว้าไป 1 ที่นั่ง

โดยภาพรวมถ้าดูจากโครงสร้างสนามการเมืองพัทลุงตอนนี้ สามกลุ่มใหญ่ที่ว่ามีฐานเสียงและจุดแข็งต่างกัน แต่ก็มีพื้นที่ทับซ้อนกันพอสมควร ทำให้ศึกครั้งหน้ามีแนวโน้ม “ดุเดือดกว่าครั้งก่อน” 

ประชาธิปัตย์ – สุพัชรี ธรรมเพชร เป็นสายตระกูล “ธรรมเพชร” ที่อยู่กับการเมืองพัทลุงมานาน ฐานเสียงชัดใน อ.กงหรา บางส่วนของ อ.ตะโหมด–เขาชัยสน มี “เสถียร ธรรมเพชร” เป็นหัวเรือใหญ่ ที่คุมฐานเสียงการเมืองท้องถิ่น

แม้ประชาธิปัตย์เสียที่นั่งไปหลายจังหวัดภาคใต้ แต่พัทลุงยังพอรักษาโครงสร้างท้องถิ่นและฐานญาติพี่น้องนักการเมืองท้องถิ่นไว้ได้ เลือกตั้งปี 66 ยังยึดไว้ได้ 2 เก้าอี้ “สุพัชรี ธรรมเพชร-หวาย-ร่มธรรม ขำนุรักษ์”

จุดท้าทายสำหรับประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นงานยากงานหินในสถานการณ์ขาลง คือการรักษาฐานเสียงเดิมในสภาพที่คนรุ่นใหม่อาจเริ่มมองหาตัวเลือกอื่นแทน


ภูมิใจไทย – ดร.นาที กับ พิพัฒน์ รัชกิจประการหัวเรือใหญ่ของภูมิใจไทยดร.นาทีถือว่าเป็น “แม่บ้านการเมือง” ของพัทลุงที่มีบารมีและเครือข่ายกว้าง ทั้งจากการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น แต่การนำทีมเดินพลาดในคดีเสียบบัตรแทนกัน และแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ติดคุกไป 9 เดือนเสียเครดิตไปพอสมควร ทีมอีก สส.ก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปหมด

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ (อดีตรมว.ท่องเที่ยวฯ และรัฐมนตรีแรงงาน) มีสายสัมพันธ์ธุรกิจ–การเมืองภาคใต้ โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับพัทลุงทางงานท่องเที่ยวและโครงการพัฒนา

เมื่อครั้งภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลจะเน้นยุทธศาสตร์ “งบลงพื้นที่–โครงการรูปธรรม” ตามสโลแกน “พูดแล้วทำ” และดูดอดีตแกนนำท้องถิ่นที่เคยอยู่พรรคอื่นมาเสริมทัพให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมกระสุนดินดำที่สะสมมาจากธุรกิจน้ำมัน


การเดินสายจัดทัพ เสริมทีมจึงมีให้เห็นต่อเนื่องอย่างล่าสุดเพิ่งไปอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้ “นิพนธ์ บุญญามณี” ก็เป็นฉากทัศน์ทางการเมือง “เนวิน ชิดชอบ”ก็บุกบ้านใหญ่เมืองตรัง “โกหน่อ-สมชาย โล่สถาพรพิพิธ ก็เป็นบริบทเข้ามาเสริม ”พิพัฒน์-นาที“


รวมไทยสร้างชาติ – สายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร แม้“ธรรมเพชร” เหมือนกับสุพัชรี แต่ถือเป็นสายการเมืองแยกขั้วกันแล้ว

การใช้แบรนด์รวมไทยสร้างชาติของสายวิสุทธิ์ทำให้ได้แรงหนุนจากกระแสนายกฯประยุทธ์ในกลุ่มอนุรักษ์นิยมและข้าราชการเกษียณ

จุดแข็งของสายนี้คือความใกล้ชิดกับเครือข่ายราชการและผู้ใหญ่บ้าน–กำนันบางส่วนที่ยังนิยมรัฐบาลเดิม


แนวโน้มการสู้กันพื้นที่พัทลุงมีเขตเลือกตั้งเพียง 3 เขต แต่ทั้งสามกลุ่มนี้มีฐานเสียง “ซ้อน” กันในหลายอำเภอ และให้จับตาการเข้ามาสร้างฐานของพรรคกล้าธรรม ส่ง ”ปวิช พรหมทอง“ เด็กป่าพยอม ลุยพื้นที่ฝุ่นตลบแล้ว

ความดุเดือดจะเกิดในเขตที่ ฐานเสียงประชาธิปัตย์ดั้งเดิมกับภูมิใจไทยชนกันตรง ๆ โดยเฉพาะเขต 1 อ.เมืองเขาชัยสน เป็นเขตที่สายวิสุทธิ์บุกแย่งฐานตระกูลเดียวกันกับสุพัชรี จึงมีโอกาสสูงที่จะเห็น คะแนนแตก 3 ฝ่ายแบบสูสี ในบางเขต ซึ่งทำให้ชนะได้แม้มีคะแนนไม่ถึง 40%

หากภูมิใจไทยดึงอดีตหัวคะแนนประชาธิปัตย์เพิ่มได้ อาจปิดเกมในบางเขตได้ตั้งแต่โค้งแรกๆ แต่ถ้า ประชาธิปัตย์รักษาโครงสร้างองค์กรในพื้นที่ได้ ก็ยังมีโอกาสกลับมาชนะได้ แต่สถานการณ์นี้ไม่ง่ายเลย เพียงแต่รวมไทยสร้างชาติขาดลุงตู่ก็อาจจะแผ่วไปบ้าง


ศึกนี้จะไม่ใช่แค่ “พรรคชนพรรค” แต่เป็น ตระกูลชนตระกูล–หัวคะแนนชนหัวคะแนน จึงน่าจะหนักตั้งแต่ก่อนประกาศเลือกตั้งอย่างน้อย 6 เดือน

จากการเลือกตั้งปี 2566 ในจังหวัดพัทลุง 

เขตเลือกตั้ง พัทลุง 3 เขตและแนวโน้มการแข่งขัน

เขตเลือกตั้งที่ 1: เมืองพัทลุง – เขาชัยสน น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร (ประชาธิปัตย์) ชนะ น.ส.ภุชงค์ (ภูมิใจไทย) ทำให้ภูมิใจไทยต้องเปลี่ยนตัวสู้ กำลังทำงานในพื้นที่อยู่ ซึ่งเป็นคนเขาชัยสน

แนวโน้มเลือกตั้งครั้งหน้ายังเป็นการปะทะหลักระหว่างประชาธิปัตย์กับ ภูมิใจไทย โดยประชาธิปัตย์มีความได้เปรียบจากฐานเสียงท้องถิ่นและตระกูลธรรมเพชร

เขตเลือกตั้งที่ 2: ศรีนครินทร์ – ควนขนุน – ศรีบรรพต – ป่าพะยอม – กงหรา (ต.สมหวัง, ชะรัด) นิติศักดิ์ ธรรมเพชร (รวมไทยสร้างชาติ) ชนะวรธ เทอดวีระพงศ์ (ภูมิใจไทย)     

แนวโน้มครั้งหน้า: การแข่งขันหลักอยู่ระหว่าง รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทย ซึ่งรวมไทยสร้างชาติเพิ่งก้าวขึ้นมาชนะในเขตนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ให้จับตา ”ปวิช พรหมทอง“ จากพรรคกล้าธรรมว่า รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะให้ราคาแค่ไหน เพราะเขาสายตรงธรรมนัส แต่เป็นคนที่ ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ไม่เอา


เขตเลือกตั้งที่ 3: กงหรา (ยกเว้น ต.สมหวัง, ชะรัด) – ตะโหมด – บางแก้ว – ป่าบอน – ปากพะยูน สส.คนรุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถสูง ประสบการณ์ไกล

”หวาย-ร่มธรรม ขำนุรักษ์ (ประชาธิปัตย์) ชนะ ประเทือง มนตรี (ภูมิใจไทย) โดยคะแนนชัดเจน 46,559 ต่อ 30,146   มนตรีเป็นสายตรง ดร.นาทีด้วย

เลข 3 แนวโน้มสนามหน้าเป็นศึกระหว่างประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทย อีกครั้ง โดยประชาธิปัตย์ดูแข็งแกร่งในพื้นที่นี้จากฐานท้องถิ่นและตระกูลขำนุรักษ์ ที่ยังมี “นริศ ขำนุรักษ์” ผู้เป็นพ่อ ยังกุมหัวคะแนนอยู่ไม่น้อย

ประชาธิปัตย์ (สุพัชรี–ร่มธรรม) มีแนวโน้มคุมพื้นที่ในเขตที่มีฐานเสียงแน่น (เขต 1 และ 3)

รวมไทยสร้างชาติ (นิติศักดิ์) เป็นผู้เล่นใหม่ที่กำลังท้าทายภูมิใจไทยในเขต 2 และอาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสนามหน้า

ภูมิใจไทย ต้องหาวิธีฟื้นฐานเสียงในทุกเขต ถ้าไม่รีบปรับยุทธศาสตร์ อาจพลาดที่นั่งอีก การเมืองวันนี้ยังไม่ใช่วันเลือกตั้งอะไรก็เปลี่ยนได้ ที่เดินอยู่ในพื้นที่อาจจะไม่ใช่ตัวจริงก็ได้ กับภาพสาโรจน์ สามารถ พาพิพัฒน์เข้าอวยพรวันเกิดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีบริบททางการเมืองอยู่นะ


สู้กันแน่นอนครับ สนามนี้ตระกูลชนตระกูล-พรรคชนกันเดือดแน่! พัทลุง อดีตตำรวจก็เดินสายทุกงาน รอการประเมินผลอยู่

 #นายหัวไทร

 #การเมืองพัทลุง

 #พรรคชนพรรค

 #ตระกูลชนตระกูล

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน

 ”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน 


1 สิงหาคม 2568 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นภายหลังมีรายงานว่ารัฐบาลไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา จากเดิม 36% เหลือ 19% ว่า เป็นความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่ควรได้รับการชื่นชม โดยเฉพาะในภาวะที่โลกเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ต้องไม่มองข้ามเงื่อนไขแฝงที่ไทยยอมแลกไปในข้อตกลงนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

“เราต้องยอมรับว่าการลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นการคลี่คลายแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผลได้ ยังมีต้นทุนเชิงโครงสร้างและความยืดหยุ่นด้านนโยบายที่ไทยยินยอมให้กับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน” นายสรรเพชญกล่าว

นายสรรเพชญ ระบุว่า ไทยได้เสนอข้อแลกเปลี่ยนสำคัญหลายประการกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น การเปิดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นศูนย์ในกว่า 90% ของรายการทั้งหมด การเว้นภาษีชั่วคราวให้บริการคลาวด์และเทคโนโลยีของบริษัทอเมริกัน รวมถึงการเพิ่มโควตาการนำเข้าพืชเกษตรบางชนิด ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขที่ “ไม่ควรปล่อยผ่านโดยปราศจากการถกเถียงในระดับสาธารณะ” และยังมีอีกหลายประเด็นที่สะท้อนว่าประเทศไทยยังคงเสียเปรียบอยู่มากในเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษนักลงทุนสหรัฐฯ ในเขต EEC การจัดซื้อพลังงานและอากาศยานจากบริษัทอเมริกัน การยอมรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบบใหม่ที่เข้มงวดขึ้น หรือแม้แต่การกำหนดเงื่อนไขลดดุลการค้าอย่างเป็นทางการภายใน 5 ปี ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ยังมีมุมที่ประชาชนควรรับรู้ครบถ้วนมากกว่าตัวเลขภาษีที่ลดลงเพียงอย่างเดียว

หนึ่งในสาระสำคัญของข้อตกลง คือการที่ไทยให้คำมั่นต่อสหรัฐว่าจะ “ลดการเกินดุลการค้าให้ต่ำกว่า 70%” ภายใน 5 ปี ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหญ่ในทางปฏิบัติ เพราะไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในหลายกลุ่มสินค้า การทำให้สมดุลการค้าดีขึ้นจึงต้องไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มการนำเข้าเท่านั้น แต่ต้องมีกลยุทธ์ระยะยาว เช่น การกระจายตลาดไปยังประเทศในเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ตลอดจนการยกระดับคุณภาพของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตในประเทศ

“ถ้าเรามุ่งลดดุลการค้าเพียงด้วยการนำเข้าสินค้ามากขึ้น แต่ไม่ได้ขยายตลาดอื่นรองรับการส่งออก ก็เท่ากับว่าระบบเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่วงจรพึ่งพาเดิม ๆ ไม่ได้ลดความเสี่ยงอะไรเลย” นายสรรเพชญกล่าว พร้อมเสนอให้จัดตั้งกลไกพิเศษระดับรัฐมนตรีหรือ “ทีมเศรษฐกิจ-การค้าเชิงรุก” ที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเจาะตลาดเกิดใหม่อย่างจริงจัง

พร้อมกันนี้ นายสรรเพชญยังเสนอว่า หลังจากการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างจริงจังกับการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวใน 6 มิติสำคัญ ได้แก่ การวางตำแหน่งของไทยในด้านภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ, การขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมขั้นสูง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่, การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน, การผลักดันบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค และการยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพและเศรษฐกิจสุขภาพในอาเซียน


นายสรรเพชญ ยังเตือนว่าการที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายการค้าเชื่อมโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง เป็นแนวโน้มที่ไม่ควรมองข้าม และไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากประเทศไทยและกัมพูชาได้รับอัตราภาษีเท่ากันที่ 19% ทั้งที่มีบริบททางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์แตกต่างกันอย่างมาก ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเจรจาในวันนี้ไม่ได้วัดกันเพียงตัวเลข แต่เกี่ยวข้องกับท่าทีและตำแหน่งของประเทศในสายตาฝ่ายเจรจาอีกด้วย


“เราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ การยอมเปิดให้คู่ค้าต่างชาติเข้ามาโดยไม่มีเงื่อนไขป้องกันที่ชัดเจน อาจทำให้เราได้ประโยชน์ในวันนี้ แต่ต้องจ่ายด้วยอธิปไตยในวันหน้า” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย

นายกฯชาย ปะทะคารมเดือดกลาง ครม.กับ “พีระพันธ์” ค้านกฎหมาย “โซล่ารูฟท็อป

 นายกฯชาย ปะทะคารมเดือดกลาง ครม.กับ “พีระพันธ์” ค้านกฎหมาย “โซล่ารูฟท็อป

……


พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอ พรบ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่ารูฟท็อป) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดตั้งแผงโซล่าร์บนหลังคาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องขออนุญาตยุ่งยากกับหลายหน่วยงานและเปิดทางให้สามารถขายไฟคืนระบบได้ด้วย   


นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงท่าที ไม่เห็นด้วยกับแผนโซล่ารูฟท็อปที่พีระพันธุ์ เสนอ ครม.โดยให้เหตุผลว่า

 •เป็นโครงการที่ “ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ให้อำนาจกระทรวงพลังงานมากเกินไป

 •ยังไม่มีการหารือร่วมกับกระทรวงพลังงานหรือหน่วยงานหลักที่ดูแลระบบไฟฟ้า

 •อาจถูกมองว่าเป็นนโยบายหาเสียงล่วงหน้า หากเร่งผลักดันโดยไม่ฟังข้อเท็จจริง

การแสดงท่าทีนี้จึงสะท้อนว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นด้วยกับพีระพันธ์ ด้านพลังงานสะอาด แต่ ต้องการความชัดเจน โปร่งใส และรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อใช้งบประมาณหรือมีผลกระทบในวงกว้าง

ในวง ครม.ข่าวว่า หลังเดชอิศม์ ขาวทอง พูดจบ พีระพันธ์ถึงกับหลุดคำพูดออกมาว่า “ใครเขียนสคลิปให้อ่าน”

ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อ “โซล่ารูฟท็อป” (Solar Rooftop) มีลักษณะ สนับสนุนเชิงหลักการมาโดยตลอด แต่มีความระมัดระวังในเชิงนโยบายและข้อกฎหมาย โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคมีบทบาทในรัฐบาล หรือในคณะกรรมาธิการพลังงานของสภา ตัวอย่างแนวทางท่าทีมีดังนี้:

1. สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด พรรคประชาธิปัตย์มักแสดงจุดยืน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโซล่ารูฟท็อป ซึ่งถือว่าเป็นการกระจายอำนาจการผลิตไฟฟ้าไปยังประชาชน และลดภาระการลงทุนโครงข่ายของรัฐ

 มี ส.ส. เช่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย (ตรัง) เคยอภิปรายในสภาเรียกร้องให้ เปิดเสรีโซล่ารูฟมากขึ้น และลดข้อจำกัดจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย

2. ท่าทีระมัดระวังในเชิงนโยบาย ขณะที่พรรคไม่คัดค้านแนวคิด แต่หากมีแผนที่ออกโดย ไม่ผ่านการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน หรือไม่ได้อยู่ในยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ ก็อาจตั้งคำถาม เช่น

“จะกระทบต่อโครงสร้างค่าไฟหรือไม่?”

“จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ติดตั้งกับผู้ไม่มีทุนหรือไม่?”

มีแผนบริหารไฟฟ้าและโครงข่ายร่วมอย่างไร?”

กรณีล่าสุด นายกฯชายปะทะพีระพันธุ์ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือน ก.ค. 2568 มีรายงานว่า นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงท่าที ไม่เห็นด้วยกับแผนโซล่ารูฟท็อปที่พีระพันธ์เสนอ อาจมองได้สองมุม คือ ท่าทีที่เปลี่ยนไปของประชาธิปัตย์ หลังเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค หรือรับงานใครมาค้าน หรือประชาธิปัตย์ต้องการความรอบคอบรอบด้านต่อผลกระทบทั้งต่อประชาชน และแผนพลังงาน

พีระพันธุ์ ได้ใช้ความพยายามมานานในการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาได้ง่ายขึ้น แต่ติดโน้นติดนี้มาโดยตลอด

รายละเอียดสำคัญของแผนนี้

1. เสรีภาพในการติดตั้ง – ปลดล็อกระบบราชการ

แผนมีแนวคิดหลักคือยกเลิกขั้นตอนขออนุญาตหรือเอกสารราชการในบางกรณี เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟได้ทันที     

2. อภิปรายในสภาเร่งรัดกฎหมายเข้าสู่ ครม.

พีระพันธุ์ได้ชี้แจงต่อสภาว่าเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ. โซลาร์รูฟเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในเร็วๆ นี้ หลังได้รับความคิดเห็นจากประชาชน (public hearing) แล้ว   

3. ส่งเสริมต่อเนื่องกับเทคนิคและนวัตกรรมในประเทศ

นอกจากร่างกฎหมาย รัฐบาลยังสนับสนุนการผลิต “อินเวอร์เตอร์ฝีมือคนไทย” ขนาด 5.5 กิโลวัตต์ จำนวนล็อตแรก 10,000 ชุด เพื่อลดต้นทุน ให้ประชาชนเข้าถึงได้ในราคาถูกกว่าเครื่องนำเข้า   

4. บริบทของตลาดโซลาร์รูฟในไทย

 •ตลาดโซลาร์รูฟไทยมีมูลค่าประมาณ 67,000 ล้านบาท และเติบโตกว่า 22% ต่อปี จากตัวเร่งต้นทุนติดตั้งลดลง เตรียมคืนทุนภายใน 6–8 ปี   

 •ตามแผน PDP ปี 2024 ประเทศไทยตั้งเป้าให้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 51% ของกำลังผลิตไฟฟ้า ภายในปี 2580 โดยโซลาร์ต้องมีสัดส่วนถึง 16%  


เป็นเรื่องที่น่าจับตามองกับท่าทีของประชาธิปัตย์ในการโต้แย้งพีระพันธ์กลางครม.ของนายกฯชายว่า เกิดจากหลักการ นโยบายของพรรคจริงๆ หรือรับนโยบายมาจากใคร

 #นายหัวไทร

 #นายกฯชาย_พีระพันธ์

 #โซล่ารูฟท็อป

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

พบแล้ว “ศึกศักดิ์ศรี-การเมืองเหยียบตาปลากัน”ปมขัดแย้ง เดชอิศม์-สส.กฤต“

 พบแล้ว “ศึกศักดิ์ศรี-การเมืองเหยียบตาปลากัน”ปมขัดแย้ง เดชอิศม์-สส.กฤต“

……

มีหลายคนถามว่า ต้นสายปลายเหตุของความขัดแย้งระหว่าง “เดชอิศม์ ขาวทอง กับ ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว” เกิดจากอะไร ทั้งๆที่ไม่น่าจะมีประเด็นขัดแย้ง เพราะชนนพัฒฐ์กับลูกเดชดิศม์ มีธุรกิจในสายเดียวกัน และเที่ยวด้วยกันอยู่

จากการสืบค้นน่าจะเกิดจาก“การเสียสัจจะลูกผู้ชาย” ของทั้งคู่ที่เคยรับปากกันไว้ แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริงทำไมได้ ส่วนใครผิดสัจจะก่อน ไม่แน่ชัด

ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งปี 2566 เดชอิศม์ เคยรับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเขตเลือกตั้งที่ 4 สงขลา คือย่านระโนด กระแสสินธ์ สทิงพระ สิงหนคร ซึ่งชนนพัฒฐ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งชนนพัฒฐ์ก็รับปากว่าจะไม่เข้ายุ่งเขต 6 สงขลา ย่าน สะเดา นาหม่อง ที่พรรคประชาธิปัตย์ส่ง สุภาพร กำเนิดผล ภรรยาของเดชอิศม์ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ (โบ้ท) จากพรรคพลังประชารัฐ และเป็นสนามเลือกตั้งที่สู้กันดุเดือด เข้มข้น

แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อการเมืองสู้กันดุเดือด เข้มข้น มีความแพ้ชนะเป็นตัวชี้วัด เดชอิศม์ ก็ก้าวเข้ามาช่วย “ชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว” จากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นคู่แข่งของชนนพัฒฐ์ ทำให้ชนนพัฒฐ์ ก้าวเข้าไปเหยียบเขต 6 อันเป็นเขตกล่องดวงใจของเดชอิศม์ ขาวทอง ทำให้เดชอิศม์ สุภาพร (น้ำหอม) เหนื่อยมากขึ้น และต้องควักมากขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อไม่ให้ภรรยาแพ้การเลือก

ผลการเลือกตั้งในวันนับคะแนนลุ้นกันแบบเหงื่อแตกซิกๆ สลับกันแพ้ สลับกันชนะ แต่ผลสุดท้ายสุภาพรชนะไปแค่ 1000 กว่าคะแนน


ผลการเลือกตั้ง สุภาพร กำเนิดผล (ประชาธิปัตย์) ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ ได้มา34,835 คะแนน (37.59%) ในขณะที่อันดับ 2 เป็น อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ (พลังประชารัฐ) ได้มา 33,648 คะแนน (36.31%)

แม้ชนนพัฒฐ์จะชนะชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว แต่อนุกูล พฤษภานุศักดิ์ แพ้ให้กับสุภาพร หรือ แพ้ให้กับคุณนายน้ำหอมนั้นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การพูด การให้สัมภาษณ์ของทั้งสองฝ่ายก็กระแนะกระแหนกันมาตลอด

ยิ่งในการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ แข่งกันหนักสามพรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม โดยพรรคกล้าธรรม นำโดยบิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ปักธงสนามเลือกตั้งภาคใต้ให้กับพรรคกล้าธรรมเป็นครั้งแรก สร้างความพ่ายแพ้ย่อยยับให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์ ผู้อาวุโสแห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง

ชัยชนะของบิ๊กโอ เกิดจากแกนนำพรรคกล้าธรรมหลายคนไปมะรุมมะตุ้มกันเต็มเขตเลือกตั้ง นำโดย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค และชนนพัฒฐ์ ก็ไปคลุกอยู่ในพื้นที่เดือนกว่าๆ และเขาก็อวดอ้างส่วนหนึ่งเป็นผลงานของเขา ในขณะที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์กอดความพ่ายแพ้ื กิดลิ้นกลืนเลือด เก็บความช้ำไว้ในอก ชนนพัฒฐ์สร้างรอยแค้นซ้ำให้กับเดชอิศม์อีกครั้ง

เมื่อได้จังหวะกรณีกลุ่มคนจำนวน 5 คน รุมกระทืบลุงวัย 65 ปี บาดเจ็บสาหัส ในทางข่าว 5 คน ล้วนเป็นคนใกล้ชิดชนนพัฒฐ์ เป็นหัวคะแนน เป็นตำรวจติดตาม แม้นชนนพัฒฐ์จะไม่ได้ลงไม้ลงมือเอง แต่ย่อมกระทบชิ้งไปถึงชนนพัฒฐ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยเฉพาะรถตู้ที่ใช้ในการอุ้มลุงไปกระทืบ เป็นรถของใคร เดชอิศม์ได้จังหวะไม่ปล่อยให้ผ่านเลย เขารีบรุดไปเยี่ยมลุงที่ รพ.ระโนดทันที พร้อมฉวยโอกาสให้สัมภาษณ์กระทบไปถึงชนนพัฒฐ์ ทำนองจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้ผ่านเลยไป ต้องมีคนรับผิดชอบ


เดชอิศม์ ยังลากยาวไปถึงเรื่องเก่าของชนนพัฒฐ์ เมื่อครั้งถูกจับคดีพนันออนไลน์ และฟอกเงิน เขาเอ่ยเลยเถิดไปถึงการกล่าวว่า มีการวิ่งเต้นคดีกับ 100-200 ล้าน แน่นอนว่า เป็นการกล่าวแบบลอยๆ ไม่มีหลักฐานอะไร อันจะนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความกันในอนาคต

เดชอิศม์ให้สัมภาษณ์เหมือนจะให้รื้อฟื้นคดี โดยจะทำหนังสือถึงเลขาฯปปง. ถึงอัยการสูงสุด ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ชนนพัฒฐ์เมื่อเปิดประเด็นมาแล้วก็น่าจะไม่นิ่งเฉย น่าจะรุกไปถึงขั้นยื่น ปปช.ให้สอบสวนการละเมิดจริยธรรมของเดชอิศม์ ข่าว ปปช.สอบเดชอิศม์ ใน 3 ประเด็นจึงออกมา ทั้งเรื่องดีลลับกับทักษิณ ชินวัตร และจะตามมาด้วยข้อกล่าวหาละเมิดจริยธรรมในการคบหากับเตียว ฮุย ฮวด นักธุรกิจสีเทาชาวจีน ที่ไทยจับกุมส่งกลับไปให้จีนแล้ว

เกมความขัดแย้งน่าจะลามไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคกล้าธรรมสงขลา แทนที่จะส่งแค่ 3-4 เขต ก็น่าจะส่งเกือบครบทุกเขต ตามบดขยี้ “ขาวทอง” ทั้งเขต 5 /6/8/9 เต็มรูปแบบ คือ “สู้จริง” มีเป้าหมายชนะ

ในขณะที่เดชอิศม์ ยังไม่มีตัวลงแข่งที่ชัดเจนว่าใน 9 เขตจะส่งใครลงบ้าง ยกเว้นคนในครอบครัว คนเก่าที่มีอยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่หรือไป เช่น สรรเพชญ บุญญามณี หรือสมยศ พลายด้วง ประเด็นใหญ่คือ ทาบทามใครต่างไม่มีคำตอบ

 #นายหัวไทร

 #ปมขัดแย้งการเมืองสงขลา

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ที่ “อภิสิทธิ์”เรียกหา พร้อม 10 เจตนารมณ์ของ “ควง อภัยวงศ์”

 อุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ที่ “อภิสิทธิ์”เรียกหา พร้อม 10 เจตนารมณ์ของ “ควง อภัยวงศ์”



พลันที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “คุณไม่ต้องชวนผมหรอก เมื่อไหร่คุณเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์กลับมา ผมจะกลับมาเอง” ก็มีเสียงเรียกถามว่า แล้ว ”อุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ คืออะไร ก็เลยไปสืบค้นมาให้อ่านกัน เผื่อจะเข้าหูเข้าตากรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันบ้าง


อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) ถือเป็นแนวทางทางการเมืองที่พรรคยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2489 ยุคควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคโดยมีรากฐานมาจาก แนวคิดเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) ซึ่งผสมผสานกับความเป็นไทยและคุณธรรมแบบอนุรักษนิยมบางประการ


อุดมการณ์หลักของพรรคประชาธิปัตย์:

 1. การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พรรคยืนยันว่าต้องยึดถือระบอบนี้โดยแท้จริง ไม่ใช่เพียงรูปแบบ และคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการในทุกรูปแบบ

 2. หลักนิติธรรม (Rule of Law) พรรคเชื่อในการปกครองภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่ใช่การใช้อำนาจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ

 3.สิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิในชีวิต เสรีภาพ ความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และการแสดงออกทางการเมือง

 4.การกระจายอำนาจ

ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและความเข้มแข็งของชุมชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

 5.เศรษฐกิจแบบเสรี (แต่ไม่ปล่อยปละ) สนับสนุนระบบตลาดเสรีที่มีกฎเกณฑ์และกลไกกำกับ เพื่อความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาส

 6.สังคมแห่งความเท่าเทียมและโอกาส พรรคเชื่อในการสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการ

 7.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต

พรรคประกาศชัดว่าจะยืนหยัดต่อสู้กับคอร์รัปชัน และยึดมั่นในธรรมาภิบาล


คำขวัญที่มักใช้แสดงอุดมการณ์:


“สุจริต เสมอภาคปรองดอง”

“ประชาธิปไตยเสรีนิยมตามรัฐธรรมนูญ”

“พรรคการเมืองของประชาชน เพื่อประชาชน”


แม้อุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์จะมีความต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติและการเมืองจริง มักมีการตีความต่างกันในแต่ละยุค ขึ้นกับผู้นำพรรคและบริบทของประเทศในเวลานั้น เช่น ยุคคึกฤทธิ์ ยุคชวน หรือยุคอภิสิทธิ์ จะมีการเน้นจุดต่างๆ แตกต่างกันไป


คำประกาศเจตนารมณ์ของควง อภัยวงศ์ ในการตั้งพรรคประชาธิปัตย์

…..

คำประกาศเจตนารมณ์ของนายควง อภัยวงศ์ ในการก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นถ้อยแถลงที่แสดงอุดมการณ์และหลักการเบื้องต้นของพรรค โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริง มีหลักการประชาธิปไตย และยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ


เนื้อหาหลักในคำประกาศเจตนารมณ์ของนายควง มีใจความสำคัญว่า:


“พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคของประชาชน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง ตามหลักการประชาธิปไตย และจะรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”


นอกจากนี้ ยังเน้นว่า พรรคจะยึดมั่นในหลักนิติธรรม เสรีภาพ ความเสมอภาค และจะส่งเสริมการศึกษา เศรษฐกิจ และสวัสดิการของประชาชน


คำประกาศเจตนารมณ์ของนายควง อภัยวงศ์ ในการก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นถ้อยแถลงที่แสดงอุดมการณ์และหลักการเบื้องต้นของพรรค โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริง มีหลักการประชาธิปไตย และยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ


เพื่อเป็นการย้ำเตือนชาวประชาธิปัตย์ ขออนุญาตนำ 10 เจตนารมณ์ในยุคก่อตั้งพรรคมาย้ำเตือนกัน อันเป็น 10 เจตนารมณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแนวทางหลักที่พรรคใช้กำหนดอุดมการณ์ ทิศทางการเมือง และนโยบายต่อประชาชน โดยพรรคประชาธิปัตย์มักยึดถือหลักประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เสรีนิยมประชาธิปไตย และเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมอย่างมีความเป็นธรรม ซึ่งสามารถสรุป “10 เจตนารมณ์หลักของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนี้


10 เจตนารมณ์พรรคประชาธิปัตย์ (ตามที่พรรคเคยประกาศ)

 1. ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 2. ธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน

 3. สร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคม

 4. ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตในการเมืองและการบริหารประเทศ

 5. สนับสนุนการกระจายอำนาจให้ประชาชนและท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม

 6. ส่งเสริมเศรษฐกิจเสรีที่มีการแข่งขันเป็นธรรม และสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง

 7. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

 8. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด้านการศึกษาและสาธารณสุข

 9. อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 10. เสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและมนุษยธรรมอีกครั้ง


เหตุที่นำเจตนารมณ์ของพรรคประชาธิปัตย์มาตอกย้ำ กลัวว่า คนรุ่นหลังจะหลงลืมไป จะได้ทบทวนกัน เห็นบางคนบอกว่า เจตนารมณ์ของประชาธิปัตย์ได้เลือนหายไปหมดแล้วในยุคกรรมการบริหารชุดใหม่ 

 #นายหัวไทร

 #พรรคประชาธิปัตย์

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

ทางรอดประชาธิปัตย์บนแผ่นดินปลายด้ามขวาริบหรี่เต็มที


 ทางรอดประชาธิปัตย์บนแผ่นดินปลายด้ามขวาริบหรี่เต็มที

……

ตั้งคำถามตรงๆ การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้จะเป็นอย่างไร รอดหรือร่วง

ก็ต้องตอบตรงๆ ครับ:

ประชาธิปัตย์ภาคใต้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า (คาดปี 2568-2572) มีแนวโน้ม “ยากขึ้น” อย่างมาก และอาจเสียเก้าอี้เพิ่มจากที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว จาก 54 ที่นั่งเหลือแค่ 10 กว่า

เหลืออยู่ไม่มากกับการสูญเสียที่นั่งแบบยกจังหวัดที่สุราษฏร์ธานี ทั้งๆที่เลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์ได้มายกจังหวัด 6 คน ส่งให้ “สินิตย์ เลิศไกร ได้โควต้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์



นครศรีธรรมราช เมืองหลวงของประชาธิปัตย์ ได้ สส.มาแค่ 6 คน จาก 10 ที่นั่ง และบางเขตในบางจังหวัดแพ้ไม่เป็นท่า แม้พัทลุงจะยังรักษาไว้ได้ถึง 2 เก้าอี้จาก 3 เก้าอี้ แต่ไม่ได้เป็นผลดีกับอนาคตของพรรคมากนัก

วิเคราะห์ตามสถานการณ์จริง

1. ความนิยมของพรรคลดลงต่อเนื่อง หลังตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และรัฐบาลแพทองธาร

ผลการเลือกตั้งปี 2566 ประชาธิปัตย์เหลือ ส.ส.เขตในภาคใต้แค่ 13 คนจากเดิมราว 50 กว่า

พ่ายแพ้ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะ นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์, พัทลุง, สงขลา, กระบี่,สตูล ฯลฯ

ฐานเสียงเก่าถูก พรรคภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และก้าวไกล แทรกเข้ามาอย่างหนัก ภูมิใจไทยเข้ามาแทรกได้ในจังหวัดระนอง สุราษฏร์ธานี นครศรีฯ พัทลุง กระบี่ พังงา สตูล สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พลังประชารัฐในยุคแรกก็เข้ามายึดไปถึง 14 ที่นั่ง รอบปี 2566 ก็มีรวมไทยสร้างชาติเข้ามาแทรกอีกหลายเขตเลือกตั้ง

2. ปัญหาภายในพรรค

แกนนำเก่า เช่น นิพนธ์ บุญญามณี ก็มีท่าทีแยกตัว/ถูกลดบทบาทในพรรคลง ไม่ได้เป็นกรรมการบริหาร มีความขัดแย้งเรื่องการจัดคนลงสมัครในบางเขต ทำให้ ศักยภาพการสู้ศึกเลือกตั้งลดลง เป็นการคัดคนแบบเล่นพรรคเล่นพวก พ่อลงแล้ว มีลูก มีภรรยาลงอีก (การเมืองครอบครับ)


พรรคประชาธิปัตย์ขาดภาพลักษณ์ผู้นำเด่น และยังไม่มี “นายหัวรุ่นใหม่” ที่ชัดเจน ไม่เหมือนในอดีต ตั้งแต่ยุค ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ สัมพันธ์ ทองสมัคร วิทยา แก้วภารดัย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี สุรินทร์ พิศสุวรรณ สุพัตรา มาศดิตถ์ พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล เหล่านี้เป็นต้น เป็นแกนนำพรรคที่โดดเด่น แต่ยุคปัจจุบันเอ่ยชื่อแล้วคนร้องยี้ ค้นหาภาวะผู้นำไม่เจอ กลับถูกตั้งข้อสังเกตโน้นนี้นั้นมากมาย


3. คู่แข่งแข็งแกร่ง พรรคภูมิใจไทย เข้ามาเบียดแทรกในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์อ่อนแอ ”พูดแล้วทำ“ อาศัยเป็นรัฐบาลต่อเนื่อง ใช้งบลงพื้นที่-นโยบายปฏิบัติได้จริง เช่น น้ำ/ยางพารา/โรงพยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน

ก้าวไกล (ประชาชน)แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จในแง่จำนวนที่นั่งในสภาสายใต้ แต่มีฐานคนรุ่นใหม่ กระแสแรงในบางเขต เช่น นครฯ พัทลุง สงขลา และเกือบทุกเขตมีคะแนนไม่น่าเกลียด บี้เบียดเข้ามาประชิด

รวมไทยสร้างชาติ/พลังประชารัฐ ยังมีเครือข่ายฝ่ายความมั่นคงและผู้มีบารมีท้องถิ่น แม้จะไม่แรงเหมือนยุคที่ พล.อ.ประยุทธ ยังอยู่

4. ภาพพรรคยังไม่ฟื้น

แม้จะเลือก หัวหน้าพรรคใหม่ มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ (มีเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค เดชอิศม์ ขาวทอง เป็นเลขาธิการพรรค)

แต่หากยังไม่มี นโยบาย-บุคลิก-ภาพจำใหม่ ที่ดึงคนใต้ได้ พรรคก็จะยังถูกมองเป็น “ของเก่า” ที่ไม่ตอบโจทย์สังคมใหม่


ทางรอดของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องสร้างภาพจำใหม่ (ไม่ใช่แค่ “พรรคเก่า”) ผลักดันคนรุ่นใหม่ให้ชัด ไม่ใช่ลูกหลานนายหัวเฉยๆ กลับมาเชื่อม “ฐานราก” แบบเดิม เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มอาชีพต่างๆ รวมถึงผู้นำในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

มีจุดยืนชัดในประเด็นใหญ่ เช่น รัฐธรรมนูญ, แก้ปัญหายาง, น้ำ, การศึกษา เป็นต้น


ถ้าไม่มีการ “เปลี่ยนโครงสร้างพรรค-ภาพลักษณ์” ครั้งใหญ่

ประชาธิปัตย์อาจกลายเป็นพรรคเล็กๆในภาคใต้ และสูญเสียสถานะพรรคหลักในภาคใต้ไปในที่สุด


ดูเหมือนว่า พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งดิ้นยิ่งติดตาข่าย เหมือนลิงติดแห ถ้าไม่ปล่อย ไม่วางพรรคก็จะร้าง แม้แต่ผู้บริหารพรรคในปัจจุบันก็ไม่มีใครมั่นใจว่า จะยังอยู่เป็นกัปตัน ขับเคลื่อนพรรคต่อไปหรือไม่

 #นายหัวไทร

 #อนาคตประชาธิปัตย์

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ถึงเวลาทบทวนประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ เมื่อเลขาธิการพรรค ยังไม่รู้ตำนานในตำแหน่งที่นั่งอยู่

 ถึงเวลาทบทวนประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ เมื่อเลขาธิการพรรค ยังไม่รู้ตำนานในตำแหน่งที่นั่งอยู่

…….


ฟังแล้วจะเป็นลม เมื่อนายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อแบบ “Exclusive” ว่าเขาคือชาวสงขลาคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มีใครหยิบมาใส่ อันเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนในประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ในประเด็นข้อเท็จจริง และได้กลายเป็นที่สนใจของคนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในหมู่ผู้ติดตามประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีรากฐานยาวนานและซับซ้อน

แม้คำกล่าวของนายเดชอิศม์จะฟังดูน่าภาคภูมิใจ หากแต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว กลับพบว่าคำกล่าวนี้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงอย่างชัดเจน

ย้อนกลับไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน พรรคประชาธิปัตย์เคยมีเลขาธิการที่ชื่อว่า “วีระ มุสิกพงศ์” ซึ่งได้รับตำแหน่งในยุคสมัย”พิชัย รัตตกุล“เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น 

วีระ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ”วีระกานต์ มุสิกพงศ์“ ตามคำแนะนำ และคำขอร้องของผู้เป็นพ่อโดยในช่วงนั้นวีระเป็นนักข่าว นักเขียนให้กับหลายสำนัก แต่เขียนให้ปรจำกับสยามรัฐ มีชื่อเสียงกระฉ่อนถึงความกล้าหาญ แหลมคมในการนำเสนอ และเริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีบทบาทโดดเด่น และที่สำคัญคือเขาเป็น “ชาวอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา” โดยกำเนิด

ปี 2518 วีระเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมในนามพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมกรุงเทพมหานคร และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องมา สองสมัย และผันตัวเองไปลงสมัครที่จังหวัดพัทลุง ได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 3 สมัย

วีระ มุสิกพงศ์ ไม่เพียงแต่เป็นชาวสงขลาคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หากยังถือเป็นหนึ่งในบุคลากรทางการเมืองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในยุคเปลี่ยนผ่านของพรรค ทั้งในด้านแนวคิด ยุทธศาสตร์ และบทบาททางสังคม

ความคลาดเคลื่อนในคำให้สัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์ อาจสะท้อนถึงช่องว่างของความทรงจำในพรรค หรืออาจเป็นเพียงความผิดพลาดทางข้อมูล แต่สำหรับผู้ที่ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “เรื่องเล็ก” เพราะตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คือหนึ่งในหัวใจของกลไกขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ของพรรค ที่บ่งชี้ถึงอำนาจ อุดมการณ์ และแนวทางการบริหารจัดการภายในพรรค

การยืนยันถึง “ความเป็นคนแรก” ในบทบาททางการเมืองจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง มิใช่เพียงคำกล่าวอ้างในห้วงอารมณ์หรือเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองเฉพาะหน้า เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น มีพยานรู้เห็น มีหลักฐาน และมีผู้คนมากมายที่ยังจดจำได้

หากย้อนกลับไปพิจารณา ”เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์“ หลายคนมีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย โดยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรก คือ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ที่มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ยังมีเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อีกหลายคนที่เอ่ยชื่อแล้วจะร้อง ”อ๋อ“ ล้ำเลิศในเชิงยุทธทางการเมือง เช่น ดำรง ลัทธิพิพัฒน์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธื์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก่อนจะมาเป็นเฉลิมชัย ศรีอ่อน และเดชอิศม์ ขาวทอง

บุคคลเหล่านี้ คือบุคลากรระดับนำของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ควรได้รับการจดจำ เป็นคุณูประการต่อพรรคประชาธิปัตย์ และชาติบ้านเมือง เพราะทุกคนก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีทุกคน

แต่เมื่อบุคคลระดับเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน คิดภาคภูมิใจว่า ตนเองเป็นขาวสงขลาคนแรกที่ได้รับเลือดเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการสะท้อนถึงการไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของพรรคเลย 

นี้ยังไม่พูดถึงเจตนารมณ์อุดมการณ์ของพรรคว่ามันจะเลือนลางไปขนาดไหนกับทีมบริหารพรรคยุคปัจจุบัน อาจถึงเวลาแล้วที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่มีอายุมากที่สุดในประเทศไทย จะต้องหันมาทบทวน “ประวัติศาสตร์ของตนเอง” อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ข้อเท็จจริงถูกกลบด้วยคำกล่าวลอย ๆ และเพื่อให้เกียรติแก่บุคคลที่เคยสร้างคุณูปการให้กับพรรค ไม่ว่าจะอยู่ในหรืออยู่นอกพรรคในวันนี้ก็ตาม

หรือเดชอิศม์ ขาวทอง คิดว่า วีระเป็นคนพัทลุง เพราะเรียนหนังสือที่พัทลุง เป็น สส.พัทลุง ตั้งลำให้ดีครับเดชอิศม์ ในวันที่มีหัวโขนสำคัญ พลาดแล้วเรืออาจจะฝ่าพายุไปไม่รอด

 #นายหัวไทร

 #เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

 #วีระมุสิกพงศ์

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

แมชต์การเมือง “ลุงเนวิน” ยกทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ลุยสงขลาในช่วงข่าวย้ายขั้ว เปลี่ยนค่าย

แมชต์การเมือง “ลุงเนวิน” ยกทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ลุยสงขลาในช่วงข่าวย้ายขั้ว เปลี่ยนค่าย

……


ลุงเนวิน-เนวิน ชิดชอบ ประธานบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดโพสต์เฟชบุ้ค “เพื่อสนับสนุนเยาวชนเล่นกีฬา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ตอบรับเตะแมตช์การกุศล บีจีปทุม ยูไนเต็ด

11 ตุลาคม 68

สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา“

แม้เป้าหมายโปรเจกต์ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เตะที่สนามติณสูลานนท์” ที่ เนวิน ชิดชอบ ประธานบุรีรัมย์ฯ ประกาศนั้นเป็นนัดการกุศล ซึ่งจัดขึ้นเพื่อ ระดมทุนช่วยเหลือเยาวชนและโรงเรียนที่ขาดแคลนอุปกรณ์กีฬาในจังหวัดสงขลา เป็นนัดฟาดแข้งกับคู่แข่งคือทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

แต่น่าจะมีเป้าหมายทางการเมืองแฝงอยู่ด้วยเป็นแน่แท้…?

”เนวิน“เลือกสนามติณสูลานนท์และช่วงเวลานี้ อาจจะด้วยเหตุผล

 1.สนามติณสูลานนท์ (Tinsulanonda Stadium)เป็นสนามใหญ่กลางจังหวัดสงขลา รองรับผู้ชมได้หลายหมื่นที่นั่ง จึงเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับจัดแมตช์ระดับนี้   

สนามอยู่ในพื้นที่ที่การสนับสนุนด้านกีฬาและประชาชนยังต้องการโอกาสมาก

 2.นัดการกุศลเพื่อสังคม ยิ่งทำในพื้นที่ห่างไกลอย่างสงขลา ยิ่งช่วยเสริมสร้างโอกาสให้เยาวชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง รายได้จากแมตช์ (หักค่าใช้จ่ายน้อยมาก) จะนำไปซื้ออุปกรณ์กีฬาแจกให้โรงเรียนและส่งเสริมกิจกรรมกีฬาในชุมชน   

จึงไม่แปลกที่ ”เนวิน“ จะเลือกสนามติณสูลานนท์ ที่ผ่านการทดสอบแมชต์ใหญ่อย่าง ”คิงส์คัพ“ มาแล้ว ตัวเลขแฟนบอลสงขลาหลายหมื่นคนแน่นสนาม องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาก็ปรับปรุงดูแลสนามอย่างดี

ม้จะจัดว่าเป็น “แมตช์การกุศล” แต่การที่เนวิน ชิดชอบ นำทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปเตะที่สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา วันที่ 11 ตุลาคม 2568 มีนัยทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะในบริบทของการเมืองภาคใต้และการเปลี่ยนขั้วอำนาจ

”เนวิน“ไปเจรจาเปิดดีลฟุตบอลการกุศลในช่วงเวลาที่การเมืองในสงขลากำลังมีข่าวหนาหูเรื่อง ”ย้ายค่าย-เปลี่ยนขั้ว“ ของบ้านเขารูปช้าง


นิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งคิดสร้างทีมฟุตบอลก็ได้รับความกรุณาจากเนวินยกทีมฟุตบอลมาให้หนึ่งทีม และเปลี่ยนชื่อเป็นทีมวัวชน ความสัมพันธ์ในเชิงลึกจึงยังมีอยู่ ดีลฟุตบอลการกุศลจึงง่ายขึ้น


เหตุผลที่แมตช์นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง


1. สงขลาเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจังหวัดที่ยึดครองโดยประชาธิปัตย์มานาน แต่การเลือกตั้งปี 2566 คะแนนเสียงถูกแบ่งออกมากขึ้น (ภูมิใจไทย-รวมไทยสร้างชาติ-พลังประชารัฐ ก็เริ่มเข้ามาเบียดแทรก ประชาธิปัตย์เริ่มถดถอย


การที่เนวินเข้ามาจัดกิจกรรมใหญ่แบบนี้อาจตีความได้ว่า “ทดสอบกระแส” หรือ “ปักธงทางการเมือง”


ต้องเข้าใจว่า เนวินเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทย แม้จะไม่มีตำแหน่งในพรรค แต่เนวินเป็นที่รับรู้ในวงการการเมืองว่าอยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลสูง การเคลื่อนไหวของเนวินในภาคใต้จึงมักถูกจับตามองว่า “พรรคภูมิใจไทยจะขยับฐานเสียงหรือไม่” ทั้งการพบกับ นิพนธ์ บุญญามณี และโกหน่อ-สมชาย โล่สถาพรพิพิธ บ้านใหญ่จังหวัดตรัง


การเลือกช่วงเวลา 11 ต.ค. 2568 อันเป็นช่วงใกล้กับการเตรียมเลือกตั้งท้องถิ่น / หรือระดับชาติหากมีการยุบสภา


การจัดแมตช์ลักษณะนี้อาจถูกใช้เป็นเวทีสร้างชื่อ สร้างเครือข่ายในพื้นที่ และวางรากฐานการเมืองท้องถิ่น การเมืองระดับชาติผ่านกีฬา


กลยุทธ์ “กีฬาเป็นเครื่องมือการเมือง” ของเนวิน

เขาใช้กีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เป็นเครื่องมือทางการเมืองมานาน (เช่นการสร้างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้เป็นพลังแห่งภูมิภาค) การขยายกิจกรรมสู่ “ภาคใต้” ที่เดิมไม่ใช่ฐานของเนวิน เป็นสัญญาณว่ากำลังมีการขยายอิทธิพล


อ่านสัญญาณทางการเมือง แมตช์นี้มีโอกาสเป็นการเปิดทางให้ภูมิใจไทยหรือแนวร่วมเข้าไปยืนในสงขลาและภาคใต้ลึกซึ้งขึ้น


สนามติณสูลานนท์ 11 ตุลาคม จึงไม่ใช่แค่สนามกีฬา แต่เป็นสนามทดลองการเมืองแบบซอฟต์พาวเวอร์ ทดสอบศักยภาพ ”นิพนธ์ บุญญามณี“

 #นายหัวไทร

 #ฟุตบอลการเมือง

 #ลุงเนวิน

งง…“มาดามเฌอ”คือใคร ทำไมโอนเงินให้ สส.สุธรรม 120,000 บาท

 งง…“มาดามเฌอ”คือใคร ทำไมโอนเงินให้ สส.สุธรรม 120,000 บาท

…..


พลันที่ข่าวเอ่ยชื่อถึง“มาดามเฌอ” ในพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจจะพากันฮวยงง ถ้าไม่ใช่สายในพรรคพลังประชารัฐจริง

มาดามเฌอ คือเนตรดาว วัชร์ชัยนันวงศ์….ก็จะมีคำถามต่อไปว่า แล้วเนตรดาวคือใคร ทำไมมีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

 ใครคือ “มาดามเฌอ” หรือ เนตรดาว วัชร์ชัยนันวงค์ เธอเป็นนักธุรกิจหญิงจากจังหวัดอ่างทองเจ้าของค่ายมวยพานทองยิม และมีส่วนเกี่ยวข้องในวงการประกวดนางงามระดับภูมิภาค

น.ส.เนตรดาว วัชร์ชัยนันวงศ์ หรือ “มาดามเฌอ” มีบทบาทสำคัญในวงการประกวดนางงามในประเทศไทยในฐานะ ผู้จัดการประกวดนางงามท้องถิ่น-ระดับภูมิภาค

เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทเป็นผู้อำนวยการกองประกวด หรือเจ้าของลิขสิทธิ์เวทีนางงามระดับจังหวัด เช่น การจัดเวที Miss Grand หรือเวทีประกวดนางงามในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งมีการคัดเลือกตัวแทนไปแข่งขันในเวทีระดับประเทศ

เธอยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้บริหารในวงการนางงาม มาดามเฌอมีชื่อเสียงในแวดวงนี้ทั้งในแง่การจัดการ การส่งเสริม และสนับสนุนผู้เข้าประกวด รวมถึงการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนางงามในพื้นที่ที่เธอดูแล

 เธอเข้ามามีบทบาทในวงการสื่อสารเคยช่วยงานด้านสื่อสาร-ภาพลักษณ์ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นภรรยาของพ.ต.ท.พีรภัทร พานทอง อดีตตำรวจทีมงาน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา

ชื่อมาดามเฌอ ปรากฏเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อเธอหอบหลักฐานเข้าร้องเรียนกับ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบว่า ส.ส. สุธรรม จริตงาม พรรคพลังประชารัฐ รับเงินเกินกว่ากฎหมายกำหนด (3000 บาท) โดยเธอนำหลักฐานการโดยเข้าเข้าบัญชี สส.สุธรรม 120,000 บาท มีลักษณะเป็นการรับสินบนหรือไม่   

สส.สุธรรมออกมาชี้แจงโดยพลัน ว่าเป็นเงินสำรองจ่ายสำหรับสำรวจโพลล์หา ส.ส. นครศรีธรรมราช ในเดือน ต.ค. 2567 โดยมีเอกสารหลักฐานยืนยัน พร้อมอ้างว่าบริสุทธิ์  


“เมื่อกลางปีที่แล้ว ตุลาคม 2567 พรรคพลังประชารัฐได้เตรียมสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งต่อไป นครศรีธรรมราช เขต 1 ที่ผมดูแลอยู่ มีหลายคนเสนอตัว ผมจึงเสนอให้ทำโพลล์ ผมรับไปหาสำนักโพลล์ การทำโพลล์ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย”

สส.สุธรรม กล่าวอีกว่า ตนไปหาสำนักโพลล์มามีค่าใช้จ่าย 120,000 บาท ตนสำรองจ่ายไปก่อนโดยสุจริต มีใบเสร็จเรียบร้อย

“วันที่ 14 กุมภาพันธ์ บรรดา สส./กรรมการบริหารพรรค และอีกหลายคนไปทานข้าวบ้าน พล.อ.ประวิตร ท่านหัวหน้าถามว่า ได้เงินค่าทำโพลล์แล้วยัง มาดามเฌอก็พูดสวนมาว่าจะสำรองจ่ายให้ก่อน แล้วจะไปตั้งเบิกกับพรรค มาดามเฌอก็โอนเงินมาให้ตามที่รับปากไว้”

สส.สุธรรม กล่าวยืนยันว่า ไม่มีอะไรจะชี้แจง ทุกอย่างมีหลักฐานหมดทุกอย่างอยู่แล้ว

ไม่มีใครทราบว่า เรื่องราวการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.มีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร มาดามเฌอยังจะร้องเรียนไปถึงอดีตรัฐมนตรีของพรรคด้วย

แต่เชื่อว่า สส.สุธรรมเป็นทนายความมาก่อน ไม่น่าจะทำอะไรผิดพลาด เผลอเรอถึงขนาดให้คนโอนเงินเข้าบัญชีโดยไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ชี้แจงไม่ได้ อันจะเข้าข่ายรับสินบนได้ แล้วถ้าคิดว่า รับสินบนมันเรื่องอะไร

เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดจากความขัดแย้งภายใน เกิดจากเหตุใครเสียประโยชน์อะไรมากกว่า จึงเก็บหลักฐานมาเล่นงานกัน

เมื่อพายุมา ก็ต้องพัดต้นไม้ใหญ่ให้ไหวหวั่น แต่แค่นี้คงไม่ล้มหรอก แต่ติดตามต่อว่า ใครจะเดือดร้อน

 #นายหัวไทร

 #สุธรรมจริตงาม

 #ร้องรับเงินเกิน3000บาท

โฆษณา


วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้