โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567

แม่ทัพภาค4แฉโจรใต้สุ่มไฟด้ามขวานนานกว่า20ปี ขอความร่วมมือกำนันผู้ใหญ่เป็นกระบอกเสียงเป่าประกาศให้ชาวบ้านที่เข้าใจผิดได้ทราบข้อเท็จจริง(มีคลิป)

แม่ทัพภาค4แฉโจรใต้สุ่มไฟด้ามขวานนานกว่า20ปี ขอความร่วมมือกำนันผู้ใหญ่เป็นกระบอกเสียงเป่าประกาศให้ชาวบ้านที่เข้าใจผิดได้ทราบข้อเท็จจริง(มีคลิป)



 ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าว นราธิวาสรายงาน Tel.0824154474 






 เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 21 ต.ค.67 ที่อาคารห้องประชุมวิทยาลัยชุมชน จ.นราธิวาส อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคภายในภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.เฉลิมชัย สิทธินวล ผอ.ศูนย์สันติวิธี และคณะ ได้เดินทางมาพบปะ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส ตามโครงการสร้างความเข้าใจ แก้ปัญหาและนำพาสู่สันติสุข ซึ่งการนี้มีนายอำเภอ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทั้ง 13 อำเภอ รวมไปถึงหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความมั่นคง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย

 ซึ่ง พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ขึ้นกล่าวพบปะในที่ประชุม พอสรุปใจความว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาที่หมักหมมมานาน และส่วนใหญ่จะถูกนำมาเป็นประเด็นในการบิดเบือน ในการสร้างปัญหาให้ประชาชนเข้าใจรัฐผิดไปต่างๆนาๆ โดยที่รัฐไม่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เข้าใจกันอย่างทั่วถึง แถมปัจจุบันโซเซียลยังถูกใช้มาเป็นเครื่องมือในการสร้างข่าวเท็จจนภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและฝ่ายปกครองได้รับความเสียหาย ง่ายๆคืออยุติธรรม 2 มาตรฐาน 

โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ทั่วถึง วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะได้รู้เท็จจริงที่เกิดขึ้นและไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวในข้อเท็จจริงให้ท่านทราบ และเมื่อทราบจึงคาดหวังให้ทุกท่านนำไปขยายผล จะได้รู้ว่าในช่วงกว่า 20 ปี ข้อเท็จจริงความปั่นป่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดจากอะไร ฝีมือใครและหวังผลอะไร ที่มีทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะกำนันผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชน

 ซึ่ง พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวในที่ประชุมเพื่อชี้ให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นว่ากลุ่มขบวนการเขาเกี่ยวกันอย่างไรในเรื่องตากใบ ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า “  เหตุการณ์ตามมาทันที มี 6 คน ชรบ.แจ้งว่าถูกจี้ปืน แต่ถูกคดียักยอกทรัพย์ และแจ้งความเท็จ ศาลตัดสิน 3ปี 6 เดือน เหตุการณ์ 9 ตุลาคม มีการวางแผนเหตุการณ์ตากใบขึ้นมา สร้างความกดดันมาที่ตากใบ เจ้าหน้าที่ก็มีการปฏิบัติตามขั้นตอนให้สลายการชุมนุมตามขั้นตอนของการสลายม็อบ เนื่องจากเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น ต้องใช้กำลังก็ทำให้มีการบานปลาย ทำลายโรงพักตากใบทุบตีสิ่งของต่างๆ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าที่คิด ระหว่างเคลื่อนย้ายเสียชีวิตไปอีก 7-8 คน จนเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของคนตากใบ เราคิดว่าเหตุการณ์ต้องมองความเป็นธรรม เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่กลุ่มผู้ขบวนการและเหตุการณ์ 100 กว่าคน ที่คนตาย 28 เมษายน ใครเรียกร้องเค้ามั่ง แล้วก็พอเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ



 ก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามีการเตรียมการมาก่อนถึงขั้น ก็ได้สร้างเชื้อแล้ว ปี 54 นายฮาซัน ตอยิบ เป็นระดับแกนนำของขบวนการเค้าพูดผ่านสื่อเลยว่าการจุดไฟปฏิวัติให้ลุกโชนขบวนการแบ่งทำสำเร็จแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของประชาชนในการนำเข้าสู่เอกราช ที่เค้ากล้าพูดแบบนั้นหมายความว่า การสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้น มีคนเข้าสู่ขบวนการ สร้างบาดแผลให้พื้นที่ ก็เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็เป็นในส่วนของภาคประชาชน ที่มาจากภายนอกเริ่มการเคลื่อนไหว เรียกร้องความยุติธรรมในเหตุการณ์ตากใบ” 

ก่อนเดินทางกลับ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ส่วนเรื่องของเหตุการณ์ตากใบ วันนี้จะมาชี้แจงสถานการณ์ให้ทุกคนทราบว่าเหตุการณ์เกิด จากวันที่ 19 ตุลาคม 2567 จากกรณีนายกามา อาลี กับพวกถูกแจ้งข้อหาแจ้งความเท็จ ยักยอกอาวุธปืน นำไปสู่การชุมนุมวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นการจัดตั้งเตรียมการมา โดยเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายในการสลายผู้ชุมนุม ยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดจนทำให้เกิดการสูญเสีย มีการดำเนินคดีแยกได้เป็น 3 ห้วง


 จนล่าสุดมีการสั่งฟ้อง 15 หมาย ผู้ต้องหา 14 คน ทางรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุม รวมถึงเข้าสู่ระบบของตำรวจสากลออกหมายอินเตอร์โพล ทั้งนี้ในห้วงนี้เน้นย้ำหน่วยว่าฝ่ายตรงข้าม หรือมือที่สามอาจมีการสร้างสถานการณ์ ต้องยกระดับควบคุมพื้นที่ไม่ให้เกิดเหตุให้มากขึ้นจากที่ทำอยู่แล้ว พร้อมขอประชาชนในพื้นที่ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ร่วมมือกันในการช่วยดูแลพื้นที่


 อย่าตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี ในการหวังสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้น ประเทศบอบช้ำมามาก เหตุกาณ์เกิดมา 20 ปีแล้ว อยากให้มองไปข้างหน้ามากกว่า อดีตขอให้เป็นบทเรียน และปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นราธิวาส พร้อมใจร่วมให้การต้อนรับและแสดงความยินดี รองผู้ว่าฯ ใหม่ อย่างคับคั่ง(มีคลิป)

 นราธิวาส พร้อมใจร่วมให้การต้อนรับและแสดงความยินดี รองผู้ว่าฯ ใหม่ อย่างคับคั่ง(มีคลิป)


วันนี้ (21 ต.ค.2567)  เวลา  10.30 น. ที่บ้านพักรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส อ.เมือง จ.นราธิวาส ส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองท้องถิ่น ตลอดจนผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น โต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิหล่าน ทั้ง 13 อำเภอ 






ในพื้นที่ เดินทางมาร่วมต้อนรับและแสดงความยินดีกับ นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์  อย่างเนืองแน่น ในโอกาสมารับตำแหน่งใหม่ เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับฯ อย่างคับคั่ง อบอุ่น 

ทั้งนี้ นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้มาต้อนรับอย่างอบอุ่น และรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้กลับมาจังหวัดนราธิวาส เพราะตนเองเกิด และโตที่นี่


 การได้กลับมาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  ตนเองมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะต้องเป็นกำลังสำคัญในการทำงานช่วยเหลือผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  และทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่  เพื่อบูรณาการทำงานให้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำจังหวัดนราธิวาสให้มีความก้าวหน้าก้าวไกลสู่อนาคต ควบคู่ไปกับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ จากนี้ขอให้ดูที่ผลงานและภาพของการทำงานของเป็นสำคัญ เพราะนั่นคือเป็นคำตอบของทุกสิ่ง "



แม่ทัพภาคที่ 4 มอบนโยบายกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นำสภาสันติสุขตำบลขับเคลื่อนงานดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน

 แม่ทัพภาคที่ 4 มอบนโยบายกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นำสภาสันติสุขตำบลขับเคลื่อนงานดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน






















     วันนี้ (21 ตุลาคม 2567) เวลา 15.00 น. ที่หอประชุมวิทยาลัยชุมชนนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานมอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคง รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ตามแผนเสริมสร้างสันติสุข ผ่านสภาสันติสุขตำบล แก่ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านของจังหวัดนราธิวาส ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, หัวหน้าส่วนราชการ,นายอำเภอ, ปลัดอำเภอ, กำนัน และผู้ใหญ่บ้านร่วมรับมอบนโยบายฯ 

     โดย พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ย้ำว่า ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลปกป้องประชาชน ให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้นโยบายสำคัญเร่งด่วน คือการควบคุมพื้นที่และการบังคับใช้กฎหมาย งานแก้ไขปัญหายาเสพติด งานส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมภาคพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง สร้างความเข้าใจและบูรณาการด้านความมั่นคงและด้านการพัฒนาให้เกิดความสันติสุขอย่างยั่งยืน

 โดยใช้สภาสันติสุขตำบลเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ส่งเสริมบทบาทแก่ผู้นำชุมชนแสดงศักยภาพผ่านสื่อต่างๆ ช่วยเป็นหูเป็นตา รู้ความเคลื่อนไหวของคนในหมู่บ้าน ดูแลพื้นที่ปฏิบัติภารกิจเชิงรับ และสนับสนุนภารกิจเชิงรุก โดยประสานการปฏิบัติกับหน่วยกำลังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้เพื่อให้พื้นที่มีความปลอดภัยปราศจากเหตุการณ์ความรุนแรงและอยู่ร่วมกันได้ในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่จะต้องใช้ความร่วมมือจากทุกท่าน เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนที่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ  และเชื่อว่าการพัฒนาที่ตอบสนองต่อบริบทของท้องถิ่นจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างถูกวิธี สามารถสร้างความสุขให้กับคนในชุมชนได้อย่างแท้จริง 


     ซึ่งในเวทีการพบปะและมอบนโยบายสร้างความเข้าใจแก่ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในวันนี้นั้น ถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและถกประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่จะต้องได้รับการพิจารณาและวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งพี่น้องประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหารือและร่วมกันหาทางออกของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมเช่นนี้จะช่วยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด นำไปสู่การพัฒนาที่สร้างสรรค์และสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน


     อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในเวทีนี้ คือ “เรื่องของการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง” กับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ ในกรณีเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การบังคับใช้กฎหมาย เหตุการณ์การรวมพลังมวลชน การบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงจนนำไปสู่ความขัดแย้งกันในที่สุด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้านยืนยันว่าพร้อมที่จะเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องไปยังประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่  


พร้อมทั้งมีการเสนอให้หน่วยงานภาครัฐ นำเสนอภารกิจงานด้านความมั่นคงถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหาร และกำลังภาคประชาชน ว่าพวกเราต่างมีความสามัคคีทำงานร่วมกันมาตลอด และพร้อมที่จะขับเคลื่อนการช่วยเหลือประชาชนในทุก ๆ โอกาส ภาพเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องไปยังประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ เป็นบ่อเกิดของความรัก ความสามัคคี และความสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป▪▪▪

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ประชุมแผนสกัดกั้นชายแดน ป้องกันก่อเหตุสร้างสถานการณ์ก่อกวนในพื้นที่


กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ประชุมแผนสกัดกั้นชายแดน ป้องกันก่อเหตุสร้างสถานการณ์ก่อกวนในพื้นที่ 

 ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าว นราธิวาสรายงาน Tel.0824154474 

ที่ หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส  พลตรี วรเดช  เดชรักษา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ประชุมมอบแนวทางและการจัดทำแผนสกัดกั้นชายแดน เตรียมรับมือและป้องกันก่อเหตุสร้างสถานการณ์ก่อกวนในพื้นที่ ในช่วงครบรอบเหตุการณ์ 21 ปีตากใบ  25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 โดย พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาแนวทางการสกัดกั้นตามแนวชายแดน

โดยที่ประชุมได้หารือ และสั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการ เพิ่มมาตรการคุมเข้มตลอดแนวชายแดน สกัดกั้นพื้นที่รับผิดชอบ เพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน โดยบูรณาการ การปฏิบัติงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน และต้องปรับแผนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ประสานการปฏิบัติกับทุกส่วนเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เสริมกำลังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะช่องทางที่มีชุมชนหรือหมู่บ้านอาศัยอยู่ใกล้แนวชายแดน การจัดตั้งจุดตรวจ / จุดสกัด 

และการจัดตั้งแหล่งข่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน โดยบูรณาการทํางานกับศูนย์ปฏิบัติการอําเภอ พร้อมกําชับเรื่องการควบคุมบุคคล อาวุธ วัตถุระเบิด ยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ตามแนวชายแดน ไม่ให้เข้ามาในพื้นที่โดยเด็ดขาด ตลอดจนเน้นย้ำให้หน่วยปฏิบัติงานตามนโยบายของ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และการแจ้งเตือนอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับและเพิ่มความเข้มงวดในมาตราการดูและความปลอดภัยตามแนวชายแดนให้มีความรัดกุมและเข้มข้นมากที่สุด 


นอกจากนี้ได้เน้นย้ำการติดต่อสื่อสาร ประสานงานจากทุกภาคส่วนราชการ ทั้งทหาร ตำรวจ ปกครองและผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผบ.ฉก.นราธิวาส / ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย เยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ป่วยติดเตียง ในพื้นที่ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส (มีคลิป)

ผบ.ฉก.นราธิวาส / ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย เยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ป่วยติดเตียง ในพื้นที่ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส (มีคลิป)

 ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าว นราธิวาสรายงาน Tel.0824154474 

พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 /ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส / ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจ พร้อมทั้งสอบถามอาการเจ็บป่วย สภาพความเป็นอยู่ของผู้ป่วยติดเตียง คือ นางเยาะ มะและ อายุ 91 ปี เป็นโรคชรา ทางบ้านมีฐานะยากจน  ซึ่งพักอาศัยอยู่ ที่หมู่9 บ้านโคกชุมบก ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ  จังหวัดนราธิวาส ในการนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ได้มอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค




 พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบ เข้าสนับสนุนส่งเสริมแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต  รวมถึงปัญหาข้อขัดข้องในด้านต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ  ตลอดจนเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือนร้อนเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป


โดยหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ของผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ และผู้พิการ ซึ่งต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก โดยเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลตัวเมือง ที่ไม่สามารถเดินทางออกมารับความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

 จึงได้ลงพื้นที่ไปมอบความห่วงใย  เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ พร้อมทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมต่อไป “ทหารพร้อมเป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชนในทุกโอกาส เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน”