โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน

 ”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน 


1 สิงหาคม 2568 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นภายหลังมีรายงานว่ารัฐบาลไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา จากเดิม 36% เหลือ 19% ว่า เป็นความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่ควรได้รับการชื่นชม โดยเฉพาะในภาวะที่โลกเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ต้องไม่มองข้ามเงื่อนไขแฝงที่ไทยยอมแลกไปในข้อตกลงนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

“เราต้องยอมรับว่าการลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นการคลี่คลายแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผลได้ ยังมีต้นทุนเชิงโครงสร้างและความยืดหยุ่นด้านนโยบายที่ไทยยินยอมให้กับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน” นายสรรเพชญกล่าว

นายสรรเพชญ ระบุว่า ไทยได้เสนอข้อแลกเปลี่ยนสำคัญหลายประการกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น การเปิดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นศูนย์ในกว่า 90% ของรายการทั้งหมด การเว้นภาษีชั่วคราวให้บริการคลาวด์และเทคโนโลยีของบริษัทอเมริกัน รวมถึงการเพิ่มโควตาการนำเข้าพืชเกษตรบางชนิด ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขที่ “ไม่ควรปล่อยผ่านโดยปราศจากการถกเถียงในระดับสาธารณะ” และยังมีอีกหลายประเด็นที่สะท้อนว่าประเทศไทยยังคงเสียเปรียบอยู่มากในเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษนักลงทุนสหรัฐฯ ในเขต EEC การจัดซื้อพลังงานและอากาศยานจากบริษัทอเมริกัน การยอมรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบบใหม่ที่เข้มงวดขึ้น หรือแม้แต่การกำหนดเงื่อนไขลดดุลการค้าอย่างเป็นทางการภายใน 5 ปี ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ยังมีมุมที่ประชาชนควรรับรู้ครบถ้วนมากกว่าตัวเลขภาษีที่ลดลงเพียงอย่างเดียว

หนึ่งในสาระสำคัญของข้อตกลง คือการที่ไทยให้คำมั่นต่อสหรัฐว่าจะ “ลดการเกินดุลการค้าให้ต่ำกว่า 70%” ภายใน 5 ปี ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหญ่ในทางปฏิบัติ เพราะไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในหลายกลุ่มสินค้า การทำให้สมดุลการค้าดีขึ้นจึงต้องไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มการนำเข้าเท่านั้น แต่ต้องมีกลยุทธ์ระยะยาว เช่น การกระจายตลาดไปยังประเทศในเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ตลอดจนการยกระดับคุณภาพของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตในประเทศ

“ถ้าเรามุ่งลดดุลการค้าเพียงด้วยการนำเข้าสินค้ามากขึ้น แต่ไม่ได้ขยายตลาดอื่นรองรับการส่งออก ก็เท่ากับว่าระบบเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่วงจรพึ่งพาเดิม ๆ ไม่ได้ลดความเสี่ยงอะไรเลย” นายสรรเพชญกล่าว พร้อมเสนอให้จัดตั้งกลไกพิเศษระดับรัฐมนตรีหรือ “ทีมเศรษฐกิจ-การค้าเชิงรุก” ที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเจาะตลาดเกิดใหม่อย่างจริงจัง

พร้อมกันนี้ นายสรรเพชญยังเสนอว่า หลังจากการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างจริงจังกับการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวใน 6 มิติสำคัญ ได้แก่ การวางตำแหน่งของไทยในด้านภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ, การขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมขั้นสูง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่, การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน, การผลักดันบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค และการยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพและเศรษฐกิจสุขภาพในอาเซียน


นายสรรเพชญ ยังเตือนว่าการที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายการค้าเชื่อมโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง เป็นแนวโน้มที่ไม่ควรมองข้าม และไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากประเทศไทยและกัมพูชาได้รับอัตราภาษีเท่ากันที่ 19% ทั้งที่มีบริบททางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์แตกต่างกันอย่างมาก ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเจรจาในวันนี้ไม่ได้วัดกันเพียงตัวเลข แต่เกี่ยวข้องกับท่าทีและตำแหน่งของประเทศในสายตาฝ่ายเจรจาอีกด้วย


“เราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ การยอมเปิดให้คู่ค้าต่างชาติเข้ามาโดยไม่มีเงื่อนไขป้องกันที่ชัดเจน อาจทำให้เราได้ประโยชน์ในวันนี้ แต่ต้องจ่ายด้วยอธิปไตยในวันหน้า” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย

นายกฯชาย ปะทะคารมเดือดกลาง ครม.กับ “พีระพันธ์” ค้านกฎหมาย “โซล่ารูฟท็อป

 นายกฯชาย ปะทะคารมเดือดกลาง ครม.กับ “พีระพันธ์” ค้านกฎหมาย “โซล่ารูฟท็อป

……


พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอ พรบ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่ารูฟท็อป) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดตั้งแผงโซล่าร์บนหลังคาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องขออนุญาตยุ่งยากกับหลายหน่วยงานและเปิดทางให้สามารถขายไฟคืนระบบได้ด้วย   


นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงท่าที ไม่เห็นด้วยกับแผนโซล่ารูฟท็อปที่พีระพันธุ์ เสนอ ครม.โดยให้เหตุผลว่า

 •เป็นโครงการที่ “ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ให้อำนาจกระทรวงพลังงานมากเกินไป

 •ยังไม่มีการหารือร่วมกับกระทรวงพลังงานหรือหน่วยงานหลักที่ดูแลระบบไฟฟ้า

 •อาจถูกมองว่าเป็นนโยบายหาเสียงล่วงหน้า หากเร่งผลักดันโดยไม่ฟังข้อเท็จจริง

การแสดงท่าทีนี้จึงสะท้อนว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นด้วยกับพีระพันธ์ ด้านพลังงานสะอาด แต่ ต้องการความชัดเจน โปร่งใส และรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อใช้งบประมาณหรือมีผลกระทบในวงกว้าง

ในวง ครม.ข่าวว่า หลังเดชอิศม์ ขาวทอง พูดจบ พีระพันธ์ถึงกับหลุดคำพูดออกมาว่า “ใครเขียนสคลิปให้อ่าน”

ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อ “โซล่ารูฟท็อป” (Solar Rooftop) มีลักษณะ สนับสนุนเชิงหลักการมาโดยตลอด แต่มีความระมัดระวังในเชิงนโยบายและข้อกฎหมาย โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคมีบทบาทในรัฐบาล หรือในคณะกรรมาธิการพลังงานของสภา ตัวอย่างแนวทางท่าทีมีดังนี้:

1. สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด พรรคประชาธิปัตย์มักแสดงจุดยืน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโซล่ารูฟท็อป ซึ่งถือว่าเป็นการกระจายอำนาจการผลิตไฟฟ้าไปยังประชาชน และลดภาระการลงทุนโครงข่ายของรัฐ

 มี ส.ส. เช่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย (ตรัง) เคยอภิปรายในสภาเรียกร้องให้ เปิดเสรีโซล่ารูฟมากขึ้น และลดข้อจำกัดจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย

2. ท่าทีระมัดระวังในเชิงนโยบาย ขณะที่พรรคไม่คัดค้านแนวคิด แต่หากมีแผนที่ออกโดย ไม่ผ่านการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน หรือไม่ได้อยู่ในยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ ก็อาจตั้งคำถาม เช่น

“จะกระทบต่อโครงสร้างค่าไฟหรือไม่?”

“จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ติดตั้งกับผู้ไม่มีทุนหรือไม่?”

มีแผนบริหารไฟฟ้าและโครงข่ายร่วมอย่างไร?”

กรณีล่าสุด นายกฯชายปะทะพีระพันธุ์ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือน ก.ค. 2568 มีรายงานว่า นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงท่าที ไม่เห็นด้วยกับแผนโซล่ารูฟท็อปที่พีระพันธ์เสนอ อาจมองได้สองมุม คือ ท่าทีที่เปลี่ยนไปของประชาธิปัตย์ หลังเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค หรือรับงานใครมาค้าน หรือประชาธิปัตย์ต้องการความรอบคอบรอบด้านต่อผลกระทบทั้งต่อประชาชน และแผนพลังงาน

พีระพันธุ์ ได้ใช้ความพยายามมานานในการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาได้ง่ายขึ้น แต่ติดโน้นติดนี้มาโดยตลอด

รายละเอียดสำคัญของแผนนี้

1. เสรีภาพในการติดตั้ง – ปลดล็อกระบบราชการ

แผนมีแนวคิดหลักคือยกเลิกขั้นตอนขออนุญาตหรือเอกสารราชการในบางกรณี เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟได้ทันที     

2. อภิปรายในสภาเร่งรัดกฎหมายเข้าสู่ ครม.

พีระพันธุ์ได้ชี้แจงต่อสภาว่าเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ. โซลาร์รูฟเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในเร็วๆ นี้ หลังได้รับความคิดเห็นจากประชาชน (public hearing) แล้ว   

3. ส่งเสริมต่อเนื่องกับเทคนิคและนวัตกรรมในประเทศ

นอกจากร่างกฎหมาย รัฐบาลยังสนับสนุนการผลิต “อินเวอร์เตอร์ฝีมือคนไทย” ขนาด 5.5 กิโลวัตต์ จำนวนล็อตแรก 10,000 ชุด เพื่อลดต้นทุน ให้ประชาชนเข้าถึงได้ในราคาถูกกว่าเครื่องนำเข้า   

4. บริบทของตลาดโซลาร์รูฟในไทย

 •ตลาดโซลาร์รูฟไทยมีมูลค่าประมาณ 67,000 ล้านบาท และเติบโตกว่า 22% ต่อปี จากตัวเร่งต้นทุนติดตั้งลดลง เตรียมคืนทุนภายใน 6–8 ปี   

 •ตามแผน PDP ปี 2024 ประเทศไทยตั้งเป้าให้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 51% ของกำลังผลิตไฟฟ้า ภายในปี 2580 โดยโซลาร์ต้องมีสัดส่วนถึง 16%  


เป็นเรื่องที่น่าจับตามองกับท่าทีของประชาธิปัตย์ในการโต้แย้งพีระพันธ์กลางครม.ของนายกฯชายว่า เกิดจากหลักการ นโยบายของพรรคจริงๆ หรือรับนโยบายมาจากใคร

 #นายหัวไทร

 #นายกฯชาย_พีระพันธ์

 #โซล่ารูฟท็อป

“สงขลา-สตูล” หมุดหมาย “มูลนิธิซอยด๊อก” ลุยทำหมัน-ฉีดวัคซีนสุนัขจรจัดต้น ส.ค.นี้

 “สงขลา-สตูล” หมุดหมาย “มูลนิธิซอยด๊อก” ลุยทำหมัน-ฉีดวัคซีนสุนัขจรจัดต้น ส.ค.นี้


“ซอยด๊อก” ปักธง ‘สตูล-สงขลา’ เป็นลำดับที่ 6 และ 7 ของภาคใต้ ส.ค.นี้นำหน่วยเคลื่อนที่ลุยทำหมันและฉีดวัคซีน หวังคุมประชากรสุนัขจรจัดและกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไป หลังชุมชนใน 5 จังหวัดให้ความร่วมมือจนบรรลุผลสำเร็จ เผยแผนระยะยาวครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดด้ามขวาน

นายสัตวแพทย์ (นสพ.) ตันติกร รุ่งพัฒนะ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการประชากรสุนัขและแมวประเทศไทย มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (ซอยด๊อก) เปิดเผยว่า มูลนิธิจะนำหน่วยทำหมันเคลื่อนที่ไปให้บริการทำหมันและฉีดวัคซีนสุนัข ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ในพื้นที่ ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล และวันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ในพื้นที่ ต.บ้านขาว อ.ระโนด  จ.สงขลา โดยจะย้ายพิกัดตั้งหน่วยทุกๆ 1–2 สัปดาห์ ให้บริการสัปดาห์ละ 6 วัน หยุดทุกวันอาทิตย์ โดยแต่ละวันรองรับสุนัขได้ 40-45 ตัว เนื่องจากหนึ่งหน่วยจะมีสัตวแพทย์ 2 คน

นสพ.ตันติกรกล่าวว่า เหตุที่เลือก 2 พื้นที่ดังกล่าวเพราะยังมีการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อมั่นว่าการทำหมันสุนัขเคลื่อนที่ของซอยด๊อกจะช่วยเสริมประสิทธิภาพโครงการต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในพื้นที่จนสามารถกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปได้โดยเร็ว ซึ่งได้ประสานกับทางปศุสัตว์จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ไว้แล้ว ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดโครงการทำหมันสุนัขเคลื่อนที่ได้ที่เฟซบุ๊ก “มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ประเทศไทย” ซึ่งจะแจ้งพิกัดหน่วยทำหมันทุกสัปดาห์


ในการเข้าพื้นที่แต่ละจังหวัดเพื่อตั้งหน่วยทำหมันของมูลนิธิซอยด๊อกจะเริ่มงานจากอำเภอด้านเหนือสุดของจังหวัด โดยจะทำหมันและฉีดวัคซีนสุนัขจนครบทุกตำบล แล้วจึงย้ายไปอำเภอที่มีพื้นที่ติดกันถัดไปทางด้านใต้ เมื่อเวียนจนครบทุกอำเภอในจังหวัดแล้ว หากยังมีสุนัขไม่ได้ทำหมันและฉีดวัคซีนหลงเหลืออยู่จะเวียนกลับไปเริ่มงานที่อำเภอแรกอีกครั้ง เมื่อสามารถควบคุมจำนวนประชากรสุนัขและไม่พบรายงานโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่ ไม่มีการสำรวจพบสุนัขแม่ลูกอ่อน จึงจะพิจารณาย้ายหน่วยทำหมันเข้าสู่จังหวัดใหม่ที่มีชายแดนติดกัน


ทุกครั้งที่มูลนิธิซอยด๊อกนำหน่วยทำหมันสุนัขเคลื่อนที่ไปให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนชาวพุทธหรือมุสลิม รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แม้มีข้อจำกัดด้านศาสนาหรือวัฒนธรรมบางประการ แต่ทุกชุมชนยินดีให้ความร่วมมือและหาจุดร่วมให้สัตว์ในชุมชนอยู่อาศัยได้อย่างสงบสุข ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่มูลนิธิได้ลงพื้นที่สำรวจจำนวนสุนัขและพูดคุยสร้างความเข้าใจกับผู้นำและคนในชุมชนไว้ก่อนแล้ว


มูลนิธิซอยด๊อกให้บริการทำหมันและฉีดวัคซีนสุนัขและแมวจรจัดเริ่มจาก จ.ภูเก็ต ในปี พ.ศ.2546 และขยายสู่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนกลับเข้าพื้นที่ภาคใต้อีกครั้งในจังหวัดอื่นๆ ประกอบด้วย พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราชและพัทลุง โดยสามารถทำหมันและฉีดวัคซีนสัตว์ได้เฉลี่ย 22,000 ตัวต่อเดือน ซึ่งมูลนิธิซอย    ด๊อกมีแผนขยายโครงการให้ครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

" พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้าไตร และน้ำสรง เพื่ออัญเชิญสรงพระมหาธาตุเจดีย์ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร

 รายการคืนคุณให้แผ่นดิน  ประมวลภาพ " พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้าไตร และน้ำสรง เพื่ออัญเชิญสรงพระมหาธาตุเจดีย์ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร






รายการคืนคุณให้แผ่นดิน ผลิตรายการเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

   " พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้าไตร และน้ำสรง เพื่ออัญเชิญสรงพระมหาธาตุเจดีย์ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ณ มณฑลพิธีวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ " 










ผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่ อัญเชิญน้ำสรงพระราชทานจากในหลวง ไปสรงน้ำพระมหาธาตุเจดีย์วัดพระสิงห์ฯ ในงานประเพณีสรงน้ำพระมหาธาตุเจดีย์ อายุครบ ๖๘๐ ปี ประจำปี ๒๕๖๘

.









          วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ณ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีอัญเชิญน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปสรงน้ำพระมหาธาตุเจดีย์วัดพระสิงห์ฯ ในงานงานประเพณีสรงน้ำพระมหาธาตุเจดีย์ อายุครบ ๖๘๐ ปี ประจำปี ๒๕๖๘ โดยมี นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด , นายศิวะ ธมิกานนท์ และนายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ , คุณกรวรรณ สุ่มมาตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ,คุณอารีย์ พันธุ์จันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่, หัวหน้าส่วนราชการพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเข้าร่วมพิธี













          โอกาสนี้ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานในพิธี ได้นำส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมวางพานพุ่มเงินพุ่มทองถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ต่อมา พระธรรมเสนาบดี เจ้าคณะภาค ๗ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ประธานสงฆ์ ได้นำพระสงฆ์จำนวน ๒๙ รูป 

พระธรรมเสนาบดี เจ้าคณะภาค ๗ วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่

พระเทพปริยัติ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๗ วัดเจ็ดยอด เชียงใหม่

พระเทพมังคลาจารย์  เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดท่าตอน เชียงใหม่

พระเทพรัตนนายก เจ้าคณะจังหวัดลำพูน วัดพระธาตุหริภุณชัย ลำพูน

พระเทพวชิราธิบดี เจ้าคณะภาค ๖ - ๗ (ธรรมยุต ) วัดป่าดาราภิรมย์ เชียงใหม่

พระราชกิตติสุนทร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๗ วัดพระธาตุเฉลิมพระเกียรติ เชียงใหม่

พระราชปัญญาเวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน วัดท่าตอน เชียงใหม่

พระราชรัชมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดสวนดอก เชียงใหม่

พระราชโพธิวรคุณ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยสะเก็ด เชียงใหม่

พระราชวชิรสิทธิ ผู้รักษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน - แม่ฮ่องสอน วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่

พระสุมณฑ์ศาสนกิตต์ เจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

พระศรีธรรมโสภณ รองเจ้าคณะลำพูน วัดพระธาตุหริภุณชัย ลำพูน

พระสุวรรณเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่

พระวิมลมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดศรีโสดา เชียงใหม่

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) เชียงใหม่

พระศรีศิลปาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค๗  วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่

พระสิทธิวชิรานุกุล รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่

พระมงคลวชิรานันท์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดน้ำบ่อหลวง เชียงใหม่

พระประชานาถมุนี วิ. เจ้าคณะอำเภอกัลยาณิวัฒนา วัดดอนจั่น เชียงใหม่

พระวชิรกิจโสภณ เจ้าคณะอำเภอฮอด วัดบ้านขุน เชียงใหม่

พระวิสุทธิวัชราภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอแม่ริม วัดลัฎฐิวัน เชียงใหม่

พระสุธีวัชรบัณฑิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดอินทขีล เชียงใหม่

พระอมรเวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่

พระครูจิตตภัทราภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน - แม่ฮ่องสอน (ธ ) วัดธรรมสามัคคี เชียงใหม่

พระครูสิทธิวรคุณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ วัดเมธัง

พระครูโอภาสปัญญาคม รองเจ้าคณะอำเภอสะเมิง  วัดดับภัย

พระครูวิสิฐศีลาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดวังสิงห์คำ เชียงใหม่

พระครูเมธีสุตากร เจ้าคณะตำบลศรีภูมิเขต ๒ วัดผาบ่อง เชียงใหม่

พระครูวรคุณารักษ์ เจ้าอาวาส วัดหนองสี่แจ่ง เชียงใหม่

พระครูวรธรรมธีราพงศ์ เจ้าอาวาส วัดท่าจำปี เชียงใหม่ ร่วมกันสวดเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

.      จากนั้น เจ้าหน้าที่กองพระราชพิธีได้อัญเชิญน้ำสรงพระราชทานลงจากโต๊ะหมู่แล้วส่งต่อให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำไปบรรจุในหงส์เงิน แล้วชักรอกนำน้ำสรงพระราชทานขึ้นไปสรงน้ำยังพระมหาธาตุเจดีย์  เสร็จแล้วได้เชิญผ้าไตรพระราชทาน จำนวน ๑ ไตร และผ้าไตรโดยเสด็จพระราชกุศล จำนวน ๒๙ ไตร ถวายแด่ประธานสงฆ์และพระสงฆ์ที่ร่วมสวดเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘

          นอกจากนี้ เมื่อเสร็จพิธีทางพุทธศาสนา ได้มีการแสดงฟ้อนเล็บเฉลิมพระเกียรติฯ โดยคณะช่างฟ้อนจากกลุ่มวัฒนธรรมหอคำพระญามังราย จำนวน ๑๕๒ คน ร่วมฟ้อนเล็บเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกด้วย

CR: ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน

เราคนไทยดัวยกันไม่ทอดทิ้งกัน "

  เราคนไทยดัวยกันไม่ทอดทิ้งกัน " 





" เราเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน " 

๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน ,คุณปัณณธร ธัญวุฒิสกุล นายกสมาคมฮงสุน...เหนือสุดแดนสยามจังหวัดเชียงราย  นำข้าวหอมมะลิ จำนวน ๒๐๐ ถุง มอบให้คุณวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และ เจ้าหน้าที่กิ่งกาชาดอำเภอแม่สาย รับมอบข้าวสารหอมมะลิไว้สำหรับปรุงอาหารแจกจ่ายให้ทหารกองช่างกองทัพบก และกำลังพลมณฑลทหารบกที่ ๓๗ ค่ายเม็งรายมหาราช ทหาร ร.๑๗ พัน ๓ และ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายปกครองกู้ภัยจิตอาสา ที่มาปฎิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน และพี่น้องประชาชนแม่สายที่ประสบอุทกภัย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย


CR: รายการคืนคุณให้แผ่นดิน

”ฮุนเซน“รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จามรามฯ สมัย ”รังสรรค์“ นั่งอธิการบดี

 ”ฮุนเซน“รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จามรามฯ สมัย ”รังสรรค์“ นั่งอธิการบดี

……

น่าสนใจเมื่อกรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงท่านหนึ่ง เตรียมจะเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ถอดถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของ “ฮุนเซน“ อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และปัจจุบันเป็นประธานวุฒิสภา

น่าสนใจว่า ฮุนเซนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจาก ม.รามคำแหงสาขาอะไร ในสมัยใครเป็นอธิการบดี และฮุนเซนเคยได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากที่ไหนบ้าง

จากการสืบค้นพบว่า ฮุนเซนเคยได้รับ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ หลายครั้งจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศและในภูมิภาคเอเชีย โดยช่วงสำคัญที่ได้รับคือ:

วันที่ 10 เมษายน 2001 มหาวิทยาลัย Dankook University (เกาหลีใต้) มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ ให้แก่ ฮุนเซนเพื่อยกย่องความพยายามในการสร้างเสถียรภาพและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัมพูชากับเกาหลี   

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2001 เขาได้รับอีกหนึ่งปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จาก Ramkhamhaeng University, ประเทศไทย   


นอกจากสองปริญญาข้างต้นฮุนเซนยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์อีกหลายสถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ (Soon Chun Hyang, University of Seoul), จีน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และอีกทั้งจาก Royal University of Phnom Penh (RUPP) ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2022 ในสาขาการพัฒนา (development) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำกัมพูชาได้รับเกียรติจาก RUPP     

โดยรวมแล้วฮุนเซนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากกว่า 10 ครั้งจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก   

ฮุนเซนได้รับ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านรัฐศาสตร์ (เกียรติคุณ) จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2001   มีคำถามว่าเป็นช่วงที่ใครเป็นอธิการบดี

สืบค้นพบว่าในช่วงนั้น ผู้บริหารระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในมหาวิทยาลัยคือ ศาสตราจารย์ ดร. รังสรรค์ แสงสุข (Associate Professor Rangsan Saengsook) ซึ่งดำรงตำแหน่ง อธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนการขยายระบบเครือข่ายและวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะช่วงปี 1995 เป็นต้นมา   

สำหรับตำแหน่ง อธิการบดี (Rector) นั้น เท่าที่มีข้อมูลจากแหล่งข่าวออนไลน์ พบว่าในช่วงหลายปีหลัง จนถึงปัจจุบันผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรักษาการแทนอธิการบดี เป็นต้นมา  หลังจากสืบพงศ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีที่มาจากการเลือกตั้งถูกเล่นงานหนักจากฝ่ายอำนาจเก่า จนถึงขั้นสภามหาวิทยาลัยบอกเลิกจ้าง และต้องพ้นจากอธิการบดี และตั้งวุฒิศักดิ์ รักษาการจนถึงปัจจุบัน

รามคำแหงในปัจจุบันอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง เล่นพรรคเล่นพวก มีความขัดแย้งสูง นักศึกษาลดลง ความเป็นเลิศทางวิชาการถดถอย กิจกรรมนักศึกษาถูกละเลย

 #นายหัวไทร

 #รามคำแหงแหง

 #ถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตฯฮุนเซน

พบแล้ว “ศึกศักดิ์ศรี-การเมืองเหยียบตาปลากัน”ปมขัดแย้ง เดชอิศม์-สส.กฤต“

 พบแล้ว “ศึกศักดิ์ศรี-การเมืองเหยียบตาปลากัน”ปมขัดแย้ง เดชอิศม์-สส.กฤต“

……

มีหลายคนถามว่า ต้นสายปลายเหตุของความขัดแย้งระหว่าง “เดชอิศม์ ขาวทอง กับ ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว” เกิดจากอะไร ทั้งๆที่ไม่น่าจะมีประเด็นขัดแย้ง เพราะชนนพัฒฐ์กับลูกเดชดิศม์ มีธุรกิจในสายเดียวกัน และเที่ยวด้วยกันอยู่

จากการสืบค้นน่าจะเกิดจาก“การเสียสัจจะลูกผู้ชาย” ของทั้งคู่ที่เคยรับปากกันไว้ แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริงทำไมได้ ส่วนใครผิดสัจจะก่อน ไม่แน่ชัด

ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งปี 2566 เดชอิศม์ เคยรับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเขตเลือกตั้งที่ 4 สงขลา คือย่านระโนด กระแสสินธ์ สทิงพระ สิงหนคร ซึ่งชนนพัฒฐ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งชนนพัฒฐ์ก็รับปากว่าจะไม่เข้ายุ่งเขต 6 สงขลา ย่าน สะเดา นาหม่อง ที่พรรคประชาธิปัตย์ส่ง สุภาพร กำเนิดผล ภรรยาของเดชอิศม์ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ (โบ้ท) จากพรรคพลังประชารัฐ และเป็นสนามเลือกตั้งที่สู้กันดุเดือด เข้มข้น

แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อการเมืองสู้กันดุเดือด เข้มข้น มีความแพ้ชนะเป็นตัวชี้วัด เดชอิศม์ ก็ก้าวเข้ามาช่วย “ชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว” จากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นคู่แข่งของชนนพัฒฐ์ ทำให้ชนนพัฒฐ์ ก้าวเข้าไปเหยียบเขต 6 อันเป็นเขตกล่องดวงใจของเดชอิศม์ ขาวทอง ทำให้เดชอิศม์ สุภาพร (น้ำหอม) เหนื่อยมากขึ้น และต้องควักมากขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อไม่ให้ภรรยาแพ้การเลือก

ผลการเลือกตั้งในวันนับคะแนนลุ้นกันแบบเหงื่อแตกซิกๆ สลับกันแพ้ สลับกันชนะ แต่ผลสุดท้ายสุภาพรชนะไปแค่ 1000 กว่าคะแนน


ผลการเลือกตั้ง สุภาพร กำเนิดผล (ประชาธิปัตย์) ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ ได้มา34,835 คะแนน (37.59%) ในขณะที่อันดับ 2 เป็น อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ (พลังประชารัฐ) ได้มา 33,648 คะแนน (36.31%)

แม้ชนนพัฒฐ์จะชนะชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว แต่อนุกูล พฤษภานุศักดิ์ แพ้ให้กับสุภาพร หรือ แพ้ให้กับคุณนายน้ำหอมนั้นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การพูด การให้สัมภาษณ์ของทั้งสองฝ่ายก็กระแนะกระแหนกันมาตลอด

ยิ่งในการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ แข่งกันหนักสามพรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม โดยพรรคกล้าธรรม นำโดยบิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ปักธงสนามเลือกตั้งภาคใต้ให้กับพรรคกล้าธรรมเป็นครั้งแรก สร้างความพ่ายแพ้ย่อยยับให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์ ผู้อาวุโสแห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง

ชัยชนะของบิ๊กโอ เกิดจากแกนนำพรรคกล้าธรรมหลายคนไปมะรุมมะตุ้มกันเต็มเขตเลือกตั้ง นำโดย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค และชนนพัฒฐ์ ก็ไปคลุกอยู่ในพื้นที่เดือนกว่าๆ และเขาก็อวดอ้างส่วนหนึ่งเป็นผลงานของเขา ในขณะที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์กอดความพ่ายแพ้ื กิดลิ้นกลืนเลือด เก็บความช้ำไว้ในอก ชนนพัฒฐ์สร้างรอยแค้นซ้ำให้กับเดชอิศม์อีกครั้ง

เมื่อได้จังหวะกรณีกลุ่มคนจำนวน 5 คน รุมกระทืบลุงวัย 65 ปี บาดเจ็บสาหัส ในทางข่าว 5 คน ล้วนเป็นคนใกล้ชิดชนนพัฒฐ์ เป็นหัวคะแนน เป็นตำรวจติดตาม แม้นชนนพัฒฐ์จะไม่ได้ลงไม้ลงมือเอง แต่ย่อมกระทบชิ้งไปถึงชนนพัฒฐ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยเฉพาะรถตู้ที่ใช้ในการอุ้มลุงไปกระทืบ เป็นรถของใคร เดชอิศม์ได้จังหวะไม่ปล่อยให้ผ่านเลย เขารีบรุดไปเยี่ยมลุงที่ รพ.ระโนดทันที พร้อมฉวยโอกาสให้สัมภาษณ์กระทบไปถึงชนนพัฒฐ์ ทำนองจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้ผ่านเลยไป ต้องมีคนรับผิดชอบ


เดชอิศม์ ยังลากยาวไปถึงเรื่องเก่าของชนนพัฒฐ์ เมื่อครั้งถูกจับคดีพนันออนไลน์ และฟอกเงิน เขาเอ่ยเลยเถิดไปถึงการกล่าวว่า มีการวิ่งเต้นคดีกับ 100-200 ล้าน แน่นอนว่า เป็นการกล่าวแบบลอยๆ ไม่มีหลักฐานอะไร อันจะนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความกันในอนาคต

เดชอิศม์ให้สัมภาษณ์เหมือนจะให้รื้อฟื้นคดี โดยจะทำหนังสือถึงเลขาฯปปง. ถึงอัยการสูงสุด ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ชนนพัฒฐ์เมื่อเปิดประเด็นมาแล้วก็น่าจะไม่นิ่งเฉย น่าจะรุกไปถึงขั้นยื่น ปปช.ให้สอบสวนการละเมิดจริยธรรมของเดชอิศม์ ข่าว ปปช.สอบเดชอิศม์ ใน 3 ประเด็นจึงออกมา ทั้งเรื่องดีลลับกับทักษิณ ชินวัตร และจะตามมาด้วยข้อกล่าวหาละเมิดจริยธรรมในการคบหากับเตียว ฮุย ฮวด นักธุรกิจสีเทาชาวจีน ที่ไทยจับกุมส่งกลับไปให้จีนแล้ว

เกมความขัดแย้งน่าจะลามไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคกล้าธรรมสงขลา แทนที่จะส่งแค่ 3-4 เขต ก็น่าจะส่งเกือบครบทุกเขต ตามบดขยี้ “ขาวทอง” ทั้งเขต 5 /6/8/9 เต็มรูปแบบ คือ “สู้จริง” มีเป้าหมายชนะ

ในขณะที่เดชอิศม์ ยังไม่มีตัวลงแข่งที่ชัดเจนว่าใน 9 เขตจะส่งใครลงบ้าง ยกเว้นคนในครอบครัว คนเก่าที่มีอยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่หรือไป เช่น สรรเพชญ บุญญามณี หรือสมยศ พลายด้วง ประเด็นใหญ่คือ ทาบทามใครต่างไม่มีคำตอบ

 #นายหัวไทร

 #ปมขัดแย้งการเมืองสงขลา

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมศ.ลงพื้นที่ ประเมินคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน ร.ร.บ้านเยาะ ต.แม่หวาด อ.ธารโต ยะลา (มีคลิป)

  สมศ.ลงพื้นที่ ประเมินคุณภาพการศึกษา ระดับขั้นพื้นฐาน ร.ร.บ้านเยาะ  ต.แม่หวาด  อ.ธารโต ยะลา (มีคลิป)                                       


                       









 เมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2568รศ.ดร.สมคิด แก้วประสิทธิ์ ลงพื้นที่ ประเมินคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน ได้ลงตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านเยาะ   สพป.ยะลา เขต3 ได้ให้สัมภาษณ์สื่อออนไลน์ ปลายด้ามขวาน@ชายแดนใต้

รศ.ดร.สมคิด แก้วประสิทธิ์ สพป.ยะลา ได้เปิดเผยว่า  สมศ.หรือย่อมาจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทยมีหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศทั้งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านการอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษาการประเมินคุณภาพการศึกษาหมายถึงการตรวจสอบและประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาทั้งในมิติของการบริหารสถานศึกษามิติของการสอนของครูผู้สอนและมิติของผลลัพธ์ในตัวผู้เรียนหรือเด็กโดยสรุปมีบทบาทสำคัญในการประกันและยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย 

     การประเมินคุณภาพภายนอกในรอบนี้คือปี 2567 ถึง 2571 มีเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาที่สอดคล้องกับเกณฑ์การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยหน่วยกำกับการประเมินนครินทร์การประเมิน ที่ตั้งอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาโดย นำโดยนิติบุคคลคือ รศ.ดร.สมคิด แก้วประสิทธิ์ ได้รับมอบหมายงานประเมินคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานในกลุ่มพื้นที่ จังหวัดปัตตานี-จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาสบางส่วน รวมทั้ง ศพด.ของ4อำเภอสงขลา


 ในการนี้ วันที่21-22 กค.2568 มี 1ทีมประเมินได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมใน เขตอำเภอธารโตจังหวัดยะลาและเป้าหมายของวันนี้ทีมผู้ประเมินจำนวน 3 คนประกอบด้วย รศ.ดร.สมคิด แก้วประสิทธิ์อาจารย์มนต์ชัย ใยแจ่ม และอาจารย์ยุทธนาลีลาไพบูลได้ลงตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านเยาะ  สพป.ยะลา เขต3 ซึ่งมีการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 จนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 






ซึ่ง โรงเรียนตั้งอยู่บริเวณเหนือเขื่อนบางลาง จังหวัดยะลา จากการตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและได้รับการอำนวยความสะดวกในการเดินทางตรวจเยี่ยมเป็นอย่างดีโดยการเดินทางเข้ามาสู่สถานศึกษานั้นจะต้องผ่านถนนหนทางที่คดเคี้ยวไปมา สลับกับบางช่วงเป็นเนินโค้งตามภูเขาซึ่งสภาพการเดินทางเป็นไปตามทางโค้งสูงต่ำสลับกันไปเนื่องจากมีการสร้างเขื่อนมาในอดีตและชุมชนเหนือเขื่อนที่มีผู้คนดั้งเดิมและอพยพย้ายถิ่นอาศัยยังต้องมีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีชุมชนและผู้นำหมู่บ้านได้ให้การสนับสนุนอย่างดีรวมทั้งต้นสังกัด คือ ทีมบริหารจาก สพป.ยะลา 3ที่มาดูแลอย่างตลอดต่อเนื่องทางทีมผู้ประเมินภายนอก  สมศ.ได้รับการดูแลในการเดินทางและอำนวยความสะดวกตลอดการประเมินเป็นระยะเวลา 2 วันในรูปแบบการประเมินแบบ Hybrid คือการประเมินแบบออนไลน์ 1 รวมกับวันลงพื้นที่จริง 1 วัน.ทางทีมประเมินภายนอก

 ขอขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษาคณะครูบุคลากรผู้นำท้องถิ่น อบต.แม่หวาด และชุมชนรอบๆสถานศึกษาซึ่งได้จัดกิจกรรมสามัคคี ระหว่าง  สถานศึกษาและชุมชนหลายหมู่บ้าน ในการประกวดการกวนอาซูรอของพี่น้องมุสลิม ในวันดังกล่าว22 กรกฎาคม 2568