โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน

 ”สรรเพชญ“ แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขดีลภาษีสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน เร่งกระจายตลาดหาทางลดดุลอย่างยั่งยืน 


1 สิงหาคม 2568 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นภายหลังมีรายงานว่ารัฐบาลไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา จากเดิม 36% เหลือ 19% ว่า เป็นความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่ควรได้รับการชื่นชม โดยเฉพาะในภาวะที่โลกเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ต้องไม่มองข้ามเงื่อนไขแฝงที่ไทยยอมแลกไปในข้อตกลงนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

“เราต้องยอมรับว่าการลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นการคลี่คลายแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผลได้ ยังมีต้นทุนเชิงโครงสร้างและความยืดหยุ่นด้านนโยบายที่ไทยยินยอมให้กับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน” นายสรรเพชญกล่าว

นายสรรเพชญ ระบุว่า ไทยได้เสนอข้อแลกเปลี่ยนสำคัญหลายประการกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น การเปิดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นศูนย์ในกว่า 90% ของรายการทั้งหมด การเว้นภาษีชั่วคราวให้บริการคลาวด์และเทคโนโลยีของบริษัทอเมริกัน รวมถึงการเพิ่มโควตาการนำเข้าพืชเกษตรบางชนิด ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขที่ “ไม่ควรปล่อยผ่านโดยปราศจากการถกเถียงในระดับสาธารณะ” และยังมีอีกหลายประเด็นที่สะท้อนว่าประเทศไทยยังคงเสียเปรียบอยู่มากในเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษนักลงทุนสหรัฐฯ ในเขต EEC การจัดซื้อพลังงานและอากาศยานจากบริษัทอเมริกัน การยอมรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบบใหม่ที่เข้มงวดขึ้น หรือแม้แต่การกำหนดเงื่อนไขลดดุลการค้าอย่างเป็นทางการภายใน 5 ปี ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ยังมีมุมที่ประชาชนควรรับรู้ครบถ้วนมากกว่าตัวเลขภาษีที่ลดลงเพียงอย่างเดียว

หนึ่งในสาระสำคัญของข้อตกลง คือการที่ไทยให้คำมั่นต่อสหรัฐว่าจะ “ลดการเกินดุลการค้าให้ต่ำกว่า 70%” ภายใน 5 ปี ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหญ่ในทางปฏิบัติ เพราะไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในหลายกลุ่มสินค้า การทำให้สมดุลการค้าดีขึ้นจึงต้องไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มการนำเข้าเท่านั้น แต่ต้องมีกลยุทธ์ระยะยาว เช่น การกระจายตลาดไปยังประเทศในเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ตลอดจนการยกระดับคุณภาพของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตในประเทศ

“ถ้าเรามุ่งลดดุลการค้าเพียงด้วยการนำเข้าสินค้ามากขึ้น แต่ไม่ได้ขยายตลาดอื่นรองรับการส่งออก ก็เท่ากับว่าระบบเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่วงจรพึ่งพาเดิม ๆ ไม่ได้ลดความเสี่ยงอะไรเลย” นายสรรเพชญกล่าว พร้อมเสนอให้จัดตั้งกลไกพิเศษระดับรัฐมนตรีหรือ “ทีมเศรษฐกิจ-การค้าเชิงรุก” ที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเจาะตลาดเกิดใหม่อย่างจริงจัง

พร้อมกันนี้ นายสรรเพชญยังเสนอว่า หลังจากการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างจริงจังกับการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวใน 6 มิติสำคัญ ได้แก่ การวางตำแหน่งของไทยในด้านภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ, การขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมขั้นสูง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่, การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน, การผลักดันบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค และการยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพและเศรษฐกิจสุขภาพในอาเซียน


นายสรรเพชญ ยังเตือนว่าการที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายการค้าเชื่อมโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง เป็นแนวโน้มที่ไม่ควรมองข้าม และไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากประเทศไทยและกัมพูชาได้รับอัตราภาษีเท่ากันที่ 19% ทั้งที่มีบริบททางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์แตกต่างกันอย่างมาก ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเจรจาในวันนี้ไม่ได้วัดกันเพียงตัวเลข แต่เกี่ยวข้องกับท่าทีและตำแหน่งของประเทศในสายตาฝ่ายเจรจาอีกด้วย


“เราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ การยอมเปิดให้คู่ค้าต่างชาติเข้ามาโดยไม่มีเงื่อนไขป้องกันที่ชัดเจน อาจทำให้เราได้ประโยชน์ในวันนี้ แต่ต้องจ่ายด้วยอธิปไตยในวันหน้า” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น