โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

อำเภอรือเสาะ “ รามิล มลรัตน์” ปลื้มปีติน้ำพระทัย "ในหลวง-พระราชินี" ทรงรับคนไข้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ รับมอบยาพระราชทาน (ชมคลิป)

 

 อำเภอรือเสาะ “ รามิล มลรัตน์”  ปลื้มปีติน้ำพระทัย "ในหลวง-พระราชินี" ทรงรับคนไข้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ รับมอบยาพระราชทาน (ชมคลิป)






 ประพันธ์  ฤทธิวงศ์ ภาพข่าว/รายงาน  






     ตามที่ ร.ต.สราวุธ ประแจ ผช. ฝอ.5 ฉก.ทพ.46พร้อมด้วย ชป.กร.หญิงฯ นำนายรามิล มลรัตน์ อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 165/1 ม.10 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ไปยังหน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงและมีความต้องการเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินพระราชกรณียกิจ . ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี อ.เมือง จังหวัดปัตตานี  เมื่อวันที 18  ธันวาคม  2563 ที่ผ่านมา



         ในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564เวลา 13.00 น.ที่ผ่านมา ณ บ้านเลขที่ 165/1 ม.10ตำบลรือเสาะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พันเอกนายแพทย์ โชคชัย ขวัญพิชิต รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแพทย์จังหวัดชายแดนภาคใต้ / หัวหน้าคณะทำงานสุขภาพ จิตอาสาพระราชทานจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยตรี หญิงวิจัย สกุลแก้ว      




            โดยมีนายนิติพงษ์ ทาหา ปลัดอาวุโสอำเภอรือเสาะ  นายกรีฑา  แดงดี  รองประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดนราธิวาส  หัวหน้าส่วนราชการและญาติของนางสาวศิรภัสสร ทองจันทร์ ร่วมพิธีพร้อมด้วยหน่วย ฉก.ทพ.ที่46 หน่วยฉก.ชุดสันติสุข วัดปลายนา  จนท.สาธารณสุข อสม.ต.รือเสาะออก กำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่อำเภอรือเสาะและประพันธ์  ฤทธิวงศ์  นักข่าวในพื้นที่  ลงพื้นที่ร่วมพิธี เพื่อมอบชุดยาพระราชทานให้กับ คนไข้นายรามิล มลรัตน์ อายุ 47 ปี ในพระบรมราชานุเคราะห์

           โดยภายหลังจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์

             นายรามิล  มลรัตน์  อายุ 47  ปี  อาศัยอยู่บ้านเลขที่  165/1   ม .10   ต.รือเสาะ  อ.รือเสาะ  จ.นราธิวาส

                เป็นผู้ป่วยติดเตียง เป็นผู้พิการทางความเคลื่อนไหว เพราะประสบอุบัติเหตุหลับในขับรถพลิกคว่ำไปชนกับต้นไม้ เมื่อปีพ.ศ. 2543  เริ่มรับการรักษาตอนแรกเกิดเหตุที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ แล้วส่งตัวไปผ่าตัดด่วนที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา เพื่อผ่าตัดกระดูกคอถึงสองครั้ง  ครั้งแรกเมื่อผ่าตัดเสร็จหมอผ่าตัดบอกว่ากระดูกคอเบี้ยวต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้งครับ ผลจากการประสบอุบัติเหตุ  ทำให้กระดูกต้นคอแตกหักแล้วไปบาดเส้นประสาททำให้มือและอวัยวะส่วนล่างชาไม่มีความรู้สึกและไม่สามารถใช้งานได้  ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลายี่สิบปี การขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระต้องกระทำบนเตียงผู้ป่วยทั้งสิ้นไม่สามารถจะขยับร่างกายไปไหนได้

                เคยสมรสและมีบุตรชายหนึ่งคน แต่ภายหลังก็ได้ทำการหย่าร้างกับอดีตภรรยาเป็นเวลาแปดปีมาแล้ว  ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวไม่มีพี่น้อง ของนายพนม    มลรัตน์(บิดาเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548) กับ นางสุพัตรา มลรัตน์  อายุ 72 ปี (มารดา)




                ปัจจุบันอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับมารดาเพียงสองคน  มารดาเกษียณราชการมานานแล้วและได้รับเงินบำนาญรายเดือน  9,000  บาท  ส่วนตัวของข้าพเจ้าเองก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากเบี้ยยังชีพคนพิการ  เดือนละ  800  บาท  มารดาและตัวของข้าพเจ้าก็ไม่มีอาชีพเสริมใดๆ หากหักค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค และค่าของใช้ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง  ในแต่ละเดือนแทบจะไม่พอใช้  และเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลก็จะลำบากมากขึ้น เพราะครอบครัวไม่มีรายได้เสริมจากทางใดๆเลย

                ซึ่งมารดาจะได้มีรายได้เป็นเงินเพิ่มเข้ามาสำหรับไว้ใช้ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จัดซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคในการดำรงชีพสำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่จำเป็น เช่น ค่าผ้าอ้อมผ้าปูรองเบาะกันเปื้อน และค่าถุงที่ใช้ถ่ายน้ำปัสสาวะที่ต้องใช้ทุกวัน วันละหลายๆถุง)

           โดยภายหลังจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์



                ทั้งนี้โดยนายรามิล  มลรัตน์ ได้กล่าวรู้สึกดีใจและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทรงรับตนเองเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์อยากขอความเมตตากรุณาได้ขอพระมหากรุณาธิคุณทรงรับไว้เป็นผู้ป่วยในพระบรมราชูปถัมภ์เพื่อต่อไปอนาคตภายภาคหน้าหากมีการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตัวข้าพเจ้ามีเหตุที่จะต้องทำการรักษาตัวในเบื้องหน้าจะได้ไม่ลำบากขัดสนหมดหนทางในการได้รับการรักษาตัวต่อไป

               

 

 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น