“พลังสังคมใหม่” ส่ง“ พลพงศ์ พงษ์สุพัฒน์ ลงเลือกตั้งซ่อม เขต 4 ลำปาง (ชมคลิป)
ประพันธ์ ฤทธิวงศ์ /รายงาน
หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เขตเลือกตั้งที่ 4 ของจังหวัดลำปางใหม่ ซึ่งเป็นไปตามที่คณะกรรมการ?การเลือกตั้ง? (กกต.)
เสนอ เนื่องจากคณะกรรมการฯ
ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมในครั้งที่ผ่านมา
เห็นว่านายวัฒนา สิทธิวัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ
ขณะนั้นได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม โดยการนี้ได้มีพระราชกฤษฎีกา
ประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4
แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2565
และคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดลำปางได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งและวันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง
เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่างในวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565
และได้กำหนดให้วันที่ 9-13 มิถุนายน 2565 เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้งฯ
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน
2565 ที่ศาลาประชาคมที่ว่าการอำเภอเถิน
จังหวัดลำปาง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำเขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดลำปางได้ประเดิมเปิดสมัครรับเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) เขต 4
ลำปาง
ขึ้นซึ่งบรรยากาศไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควรมีผู้สมัครจากพรรคการเมือง
เดินทางมาลงทะเบียนสมัครรับเลือกตั้งอยู่เพียงสองราย คือ นายพลพงศ์ พงษ์สุพัฒน์
ผู้สมัครจากพรรคพลังสังคมใหม่ และนายเดชทวี ศรีชัย พรรคเสรีรวมไทย
โดยผู้สมัครทั้งสองได้เดินทางมายังสถานที่รับสมัครตั้งแต่เช้าก่อนเวลา 08.30 น.
ซึ่งถือเป็นการมาถึงสถานที่รับสมัครพร้อมกัน
ดังนั้นเมื่อถึงเวลารับสมัครคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง
จึงให้ทั้งฝ่ายตกลงกันเพื่อเลือกหมายเลขผู้สมัครแต่ไม่สามารถตกลงกันได้
จึงให้มีการจับสลากหมายเลขผู้สมัครแทน และผลปรากฏว่า นายเดชทวี ศรีชัย
พรรคเสรีรวมไทย ได้หมายเลข 1
ส่วนนายพลพงศ์ พงษ์สุพัฒน์
ผู้สมัครจากพรรคพลังสังคมใหม่ได้หมายเลข 2 โดยในทุกกระบวนการทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ประจำเขตเลือกตั้ง
ได้มีการคุมเข้มคงระยะห่างตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อ COVID-19 ไม่อนุญาตให้บรรดาเหล่ากองเชียร์เข้าไปในบริเวณเขตพื้นที่รับสมัคร
แต่ให้นั่งคอยอยู่ในบริเวณจุดพักที่ได้จัดเตรียมไว้ให้
พร้อมกำหนดให้ผู้สมัครสามารถมีผู้ติดตามถือเอกสารหลักฐานในการสมัครรับเลือกตั้งได้ไม่เกิน
2 คน
เท่านั้น
โดยทันทีหลังจากการจับสลากหมายเลขผู้สมัครแล้วเสร็จ
ผู้สมัครทั้งสองรายก็ได้เข้ายื่นเอกสารการลงสมัคร ซึ่งก็ได้ผ่านการตรวจสอบตามลำลับขั้นตอนจากเจ้าหน้าที่จนแล้วเสร็จ
ท่ามกลางความยินดีของเหล่ากองเชียร์ผู้ที่มาให้การสนับสนุน ในการนี้นายทองเนตร
ดูใจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดลำปาง และนายสมศักดิ์ วัชรธาดาพงศ์
นายอำเภอเถิน ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 4 ได้เข้ามาร่วมกำกับดูแลสังเกตุการณ์ในการรับสมัครครั้งนี้ด้วย
ดร.เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายสำคัญให้เป็นหลักในการหาเสียงตั้งแก่ สมาชิกพรรคและตัวแทนเขตการเลือกตั้งทั่วประเทศ ด้วยมติคณะกรรมการบริหารพรรคให้ชูนโยบาย นำไปชี้แจงในการหาเสียงเพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้ง
ดร.เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ เปิดเผยว่า
ได้มอบนโยบายสำคัญให้เป็นหลักในการหาเสียงตั้งแก่
สมาชิกพรรคและตัวแทนเขตการเลือกตั้งทั่วประเทศ
ด้วยมติคณะกรรมการบริหารพรรคให้ชูนโยบาย นำไปชี้แจงในการหาเสียงเพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้ง
โดยมีนโยบายสำคัญดังนี้
1.นโยบายช่วยค่าใช้จ่ายสวัสดิการค่าครองชีพพื้นฐานให้ผู้มีรายได้น้อยกว่า
100,000 บาทต่อปี โดยรวมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยคนชรา คนพิการ
2.พรรคพลังสังคมใหม่เล็งเห็นความสำคัญอย่างหนึ่ง
ยกระดับสวัสดิการพนักงานเอกชนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ในค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับ
พ่อ แม่ สามี ภรรยา รวมทั้งบุตร รวมทั้งค่าเล่าเรียนฟรีบุตรของผู้ประกันตน
ด้านนายสุโท สร้างคำ
เลขาธิการพรรคพลังสังคมใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคพลังสังคมใหม่
ได้รับกระแสข่าวการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะมีการยุบสภาในเร็วๆนี้
พรรคพลังสังคมใหม่มีความพร้อมในการส่งตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ครบ 400 เขต
ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ได้ออกเดินทางพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศของท่านหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค
พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรคและผู้สมัครส.ส.เขตทั่วประเทศ
โดยชูนโยบายดังกล่าวเพื่อให้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน
ถึงแม้จะเป็นพรรคการเมืองใหม่แต่พรรคพลังสังคมใหม่ไม่ได้เป็นพรรคเล็ก
พร้อมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งสู้ทุกพรรค
สำหรับนโยบายพรรคพลังสังคมใหม่
ประเทศไทยมีความมั่นคง สุขสงบ และสวยงาม มีอาชีพและฐานะมั่นคง ยั่งยืน แต่ความเหลื่อมล้ำเป็นบ่อเกิดหรือปัจจัยเสริมของอีกหลายปัญหาในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นปัญหา
เศรษฐกิจ ศาสนา การเมือง สังคม ที่คุกรุ่นและปะทุมาเป็นระยะๆ
ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่เรื้อรัง หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง
คาดเดาได้ว่าสังคมไทยในอนาคตจะมีกระบวนการสะสมทุนกระจุกตัวอยู่กับธุรกิจขนาดใหญ่ผลตอบแทนจากค่าจ้างจะมีความห่างกันมากขึ้น
ประสบการณ์จากต่างประเทศบ่งชี้ว่าความเหลี่อมล้ำต้องการความมุ่งมั่นและความยินยอมของสังคมในการจัดระเบียบเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำต่างๆได้จริง พรรคพลังสังคมใหม่ จะยึดมั่นในอุดมการณ์ของการบริหารพรรคภายใต้กฎหมายและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ยึดผลประโยชน์ของชาติ ประชาชนเป็นหลักในการบริหารประเทศ
จึงได้กำหนดนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมให้กับสังคม
ในหลากหลายมิติคือ
นโยบายด้านเศรษฐกิจ พุทธศาสนา การเมือง สังคม
1.
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal
Basic Income UBI ) เป็นแนวคิดที่กำลังมาแรงทั่วโลกขณะนี้
แต่โดยรวมแล้วหมายถึงการให้เงินฟรี แก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (UBI)
แตกต่างจากสวัสดิการที่รัฐจัดให้ เพราะเป็นการให้เปล่าแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ยุ่งยากให้ทุกเดือนรัฐ
จะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้มีรายได้น้อยทุกเดือนๆละ 3,000 บาท
เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเพราะอนาคตคนจะตกงาน
งานทุกระดับกำลังถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ จนนักอนาคตวิทยาบางคนทำนายว่า 8
ปีข้างหน้า (๒0๓๐) จะมีคนตกงาน หลายล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงาน
จำเป็นจะต้องนำเอานโยบาย "รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า" (UBI) มาปรับฐานรากเปลี่ยนฐานคิด
จ่ายเงินเดือนให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยที่ต่ำกว่าเส้นความยากจน เดือนละ 3,000 บาท
เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ แบบยั่งยืน “รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า(UBI) ไม่ใช่
บัตรสวัสดิการและไม่ใช่บำนาญประชาชน” รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า(UBI) จ่ายเงินเดือนให้กับเด็กอายุตั้งแต่เจ็ดขวบขึ้นไป
ผู้ที่เคยได้รับบัตรสวัสดิการและผู้สูงอายุ ทั้งสามกลุ่มนี้จะได้รับเงินเดือนๆละ
3,000 บาท ทุกๆเดือน
เพื่อแก้ปัญหาฐานรากของคนจนในประเทศไทยให้พ้นจากความยากจนแบบยั่งยืน
2.
นโยบายคุ้มครองส่งเสริมพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนและศาสนาอื่นให้มั่นคงเข้มแข็งโดยสนับสนุนให้ยกร่าง
พรบ.ทั้งสิ้น 6 ฉบับดังนี้
2.1
ยกร่าง พรบ. จัดตั้งกระทรวงพุทธศาสนา "มหาคณิสร"
ให้เป็นกึ่งองค์กรอิสระเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันและอนาคต
สู่ช่วงชั้นการบริหารจัดการพุทธศาสนาในรอบ ๕ ทศวรรษข้างหน้า
อย่างมีธรรมาภิบาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยุคสู่ยุคอย่างถูกวิธี
การณ์นี้ มหาเถรสมาคม
กรมการศาสนาสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ จะสิ้นสุดลงโดยปริยายส่วน
พระราชอำนาจจะยังคงบริบูรณ์ จะก่อเกิดมี "มหาเถรสภา" ผู้ทรงสิทธิประสาท
ที่มาของอำนาจสู่ "มหาคณิสร" ผู้จะเป็นคณะบริหารคณะสงฆ์ไทยอย่างแท้จริง
โดยล้อเอา พรบ.สงฆ์ ๒๔๘๔ มาเป็นแม่แบบบางมาตรา
2.๒.
ยกร่าง พรบ.จัดตั้งศาลวินัยธรหรือสำนักอธิกรณ์
เพื่อจัดระเบียบกระบวนพิจารณาอธิกรณ์หรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับสถาบันพุทธศาสนาและพระภิกษุสงฆ์
รวมถึงนักพรตในพุทธศาสนา โดยใช้แนวทางศาล "ชำนัญพิเศษ" สนับสนุนให้นำ
พระธรรมวินัย มาพิจารณาก่อนการวินิจฉัย
ตัดสินอธิกรณ์และข้อพิพาทที่เกิดกับศาสนทายาทและศาสนสมบัติอย่างถูกวิธี
2.๓.
ยกร่าง พรบ.จัดตั้งกองทุนการเงินเพื่อพุทธศาสนา,พุทธศาสนิกชน และพุทธศาสนาระหว่างประเทศ
ยกเลิกนโยบายจัดตั้ง "ธนาคารพุทธศาสนา"
เพราะอาจไม่สอดรับกับระบบดิจิตอลทางการเงิน
และยากต่อการให้บริการธุรกรรมทางการเงินในอนาคต
ควบรวมศาสนสมบัติกลางและจัดให้วัดรายได้สูงเกิน
๑๐ ถึง ๕๐ ล้านบาทต่อปี ต้องหักเข้ากองทุนการเงิน
เพื่อพุทธศาสนาร้อยละ ๕ และรายรับตั้งแต่ ๕o ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
ต้องหักเข้ากองทุนพุทธศาสนาร้อยละ ๑0
เพื่อการอุปถัมภ์บำรุงพุทธศาสนาโดยทรัพย์สินของพุทธศาสนาเอง
วัดที่มีรายได้ต่อปี ต่ำกว่าปีละ ๑0 ล้านบาท
อาจได้สิทธิทำแผนงานของบพัฒนาวัดจากกองทุนนี้
เพื่อการเผยแผ่พุทธศาสนาตามความจำเป็น
2.4.
ยกร่าง พรบ.คุ้มครองหรือจัดระเบียบว่าด้วยการให้ที่ดินป่าโซน E มีสถานะเป็น
พุทธอุทยานตามธรรมชาติ เพื่อให้สอดรับกับพระธรรมวินัย วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์
ที่ต้องทำป่าเขาลำเนาไพรให้เป็นสัปปายะสถานแก่พุทธศาสนทายาท
และมุ่งพัฒนาให้ชุมชนชาวพุทธสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้และมีพุทธศาสนสถานควบคู่กันเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม
ตามข้อผ่อนปรนเพื่อตอบโจทย์เรื่องขาดแคลนที่ทำกินและพุทธศาสนธรรมของเกษตรกร
2.๕.
ยกร่าง พรบ.วิสาหกิจขุมชนวิถีพุทธ
เพื่อทุเลาปัญหาการขาดแคลนพระสงฆ์อยู่จำพรรษาและขาดงบประมาณเล็กน้อยเพื่อการอุปโภคภายในวัดและการทรงสมณชีพของพระสงฆ์ตามวัดในชนบทอย่างพอเพียง
เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ฯลฯ ที่วัดในชนบทประสบปัญหานี้จนเกิดวัดร้าง ยุบเลิกวัด
เป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญเป็นการยึดโยงกันระหว่าง บ้าน วัด ชุมชน
ให้มีสภาพเป็นจริง โดยจัดให้วัดที่มีศักยภาพจัดทำ 1 ลานวัด ๑ ตลาดนัด
ทำวัดให้เป็นศูนย์กลางการบริหารกองทุน ผลิต ถนอมพันธุ์ ไซโล และกระจายผลิตภัณฑ์
สู่สังคมพื้นฐานอื่นๆ
2.๖.
ยกร่าง พรบ. เชิดซูเกียรติให้ผู้นำศาสนาอิสลาม เป็น "นักพรต"
เพื่อลดภาระของผู้นำทางศาสนาไม่ต้องรับภาระหนักในการทำกิจกรรมทางสังคมและการเมืองของผู้นำศาสนานั้น
ซึ่งอาจรับตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญๆและ/หรือตำแหน่งชั้นสูงสุดในระบบราชการไทย
เพื่อลดข้อขัดแย้งแคลงใจของศาสนิกชนของศาสนาอื่น
ที่มองว่าผู้นำศาสนาอิสลามได้สิทธิมากเกินไป และมักปฏิเสธลอยหรือรับสภาพลอยเสมอๆ
หากจำต้องตอบคำถามของสังคมที่ตั้งคำถามถึงสถานภาพของผู้นำศาสนาอิสลาม
พรบ.นี้จะชี้ชัดให้การแสดงตัวตนของผู้นำศาสนาอิสลามในสังคมไทยแบบรวมเหล่าว่ามีสถานภาพอย่างไรตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย
๓. นโยบายส่งเสริมจัดสรรที่ดินของรัฐ
ให้ประชาชนทุกครอบครัวที่ไม่มีบ้านและไม่มีที่ดินทำกิน
บนพื้นที่ของรัฐให้เพียงพอโดยปริมาณและวิธีการที่เหมาะสม เช่น เช่าที่ดิน ทหาร
ที่ธนารักษ์ ที่ราชพัสดุ ที่ป่าอนุรักษ์เสื่อมโทรม ฯลฯ
หรือที่ดินที่ประชาชนครอบครองอยู่แล้วเช่น ภบท.5-6-11 สปก.4-01 ฯลฯ
นำมาจัดสรรใหม่ในปริมาณที่เหมาะสมต่อครัวเรือน
ให้สามารถประกอบอาชีพทำกินบนที่ดินได้มากกว่าเพื่อการทำเกษตรอย่างเดียว
รองรับความมั่นคงของคนไทยในวัยเกษียณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนสร้างความมั่นคงพื้นฐานในชีวิตของประชาชน
แก้ปัญหาคนไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
4.
นโยบายผลักดันและส่งเสริมให้ออก พรบ. อนุรักษ์และพัฒนาไก่พื้นเมือง นำไก่ชน
ไก่สวยงาม ส่งออกไปขาย ต่างประเทศ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยดั่งเดิม
เพื่อสร้างอาชีพเกษตรกรไทยให้มีรายได้ในการเลี้ยงไก่ชน ไก่สวยงาม
ตลอดถึงได้ขายพืชผลการเกษตรเพื่อนำมาเป็นอาหารไก่พื้นบ้านในราคาดี
5.
นโยบายปฏิรูปการศึกษาอย่างครบวงจร ทุกมิติอย่างจริงจัง เพื่อลดภาระของผู้ปกครอง
ยกระดับการศึกษาด้านอาชีวศึกษามากยิ่งขึ้น ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชน
ประชาสังคมและชุมชนท้องถิ่นต่อการศึกษาและเน้นการศึกษาเพื่อนำไปสู่การประกอบอาชีพอย่างแท้จริง
6.
นโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดและสารพิษ ให้โอกาสผู้ติดยาเสพติดได้เข้ารับการบำบัดรักษา
รวมถึงดูแลช่วยเหลือให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข
ทุกคนสามารถเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาในระบบสมัครใจโดยไม่ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
พัฒนาและยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อลดทอนศักยภาพ ความสามารถพื้นที่การผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน
และการลักลอบนำเข้าสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์
สนับสนุนการสกัดกั้นยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกมิติ
เพื่อลดและตัดโอกาสในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเพื่อการแพร่กระจายและส่งออกทางระบบคมนาคมขนส่ง
พัสดุภัณฑ์ ทางออนไลน์ ผู้ผลิต ผู้ค้ารายใหญ่ต้องรับโทษทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด
7.
นโยบายแยกกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นออกจากระทรวงมหาดไทย
ยกฐานะเป็นกระทรวงส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้การกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อันเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเต็มรูปแบบโดยสภาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นช่วยคิดช่วยทำในระบบ
บ้าน วัด ชุมชน โดยสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
8.
นโยบายการส่งเสริมพัฒนาการกีฬา และการท่องเที่ยว
เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพให้เป็นอาชีพหนึ่งที่มีความมั่นคงและด้านการท่องเที่ยว
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ฐานรากให้เกิดรายได้กับชุมชน
ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง
กระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง
เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางในการท่องเที่ยว (เมืองหลัก เมืองรอง ชุมชน)
ให้มีความโดดเด่น ความพร้อมในอัตลักษณ์ของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตกรรมวิถี
เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากร ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องในชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตกรรมวิถี
ให้มีขีดความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์และนำมาต่อยอดการบริหารจัดการชุมชนได้อย่างเหมาะสมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติต่อไปด้วยการส่งเสริมกิจกรรมของกระทรวงกีฬาและการท่องเที่ยวให้เกิดประสิทธิภาพอย่างบริบูรณ์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น