รมว.ดีอี’ เดินหน้าเป้าหมาย ขับเคลื่อน 3 เครื่องยนต์ยกระดับสามารถด้านดิจิทัล - เพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ เปิดเวที Blockchain to Government Conference (B2GC) ระดมพลังผลักดันบล็อกเชน สู่การโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ(มีคลิป)
- - - - - -
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวงดีอีในชื่อ The Growth Engine of Thailand ประกอบด้วย 3 เครื่องยนต์สำคัญได้แก่ 1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) 2. การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital)
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า เครื่องยนต์ทั้ง 3 จะขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้หากขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในการสร้าง ความเชื่อมั่น การเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย โปร่งใสในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยปัจจุบันมีองค์กรหรือหน่วยงานจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมา ประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและการให้บริการ จนเกิดเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ดังนั้นบล็อกเชนจึงเปรียบเสมือนคลื่นลูกใหม่แห่งวงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ
.
เครื่องยนต์ที่ 1 แนวทางการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งกระทรวงดีอี มุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสจากโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศอย่างจริงจัง โดยจะเร่งพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G ให้มีการใช้งานที่สอดคล้องกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม สร้างโอกาสความร่วมมือในการลงทุนและการค้าผ่านโครงข่ายการสื่อสารระหว่างประเทศสู่ระดับนานาชาติมุ่งเน้นบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายเคเบิลใต้น้ำผ่านกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค การขยายโอกาสผ่านเส้นทาง One-belt และ China Plus One
พร้อมเร่งรัดและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการค้าออนไลน์และ E-commerce ลดความยุ่งยากในการใช้ National Digital ID หรือระบบพิสูจน์ยืนยันตัวตนของผู้รับบริการภาครัฐและเอกชนผ่านระบบออนไลน์ เตรียมพร้อมรองรับยุคเศรษฐกิจ AI อีกทั้งเร่งรัดให้เกิดแผนแม่บทการส่งเสริมการ พัฒนา AI โดยเฉพาะการวางแนวทางการเยียวยาความเสียหายจากความผิดพลาดของ AI (Responsible AI) อย่างมีทิศทาง
.
นอกจากนี้ยังจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของรัฐบาลดิจิทัล โดยเชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริการแก่ภาคประชาชน ภาคเอกชนหรือแม้แต่ภาครัฐในทุกมิติและการเปิด API ให้ประชาชนและภาคเอกชนสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมเร่งรัดให้เกิดบริการภาครัฐแบบ One Stop Service พัฒนาระบบ One Wallet ส่งเสริมการนำเทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contracts มาใช้สร้างความน่าเชื่อถือและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจภาคเอกชนสามารถเข้าถึงการบริการได้สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส โดยจะเปิดโอกาสให้Digital Startup ไทยและพันธมิตระดับโลกเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ เช่น การยืนยันเอกสาร ราชการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะสุข การตรวจสอบย้อนกลับของสินค้าเกษตรและโลจิสติกส์ และการบันทึก carbon credit ของภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
.
เครื่องยนต์ที่ 2 แนวทางการสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลจะต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านแผนงานการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์โดยเร่งด่วน โดยจะประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้เปิดบัญชีแทน/บัญชีม้าในประเทศไทย เว็บพนันออนไลน์ มิจฉาชีพ Call Center และจะเพิ่มประสิทธิภาพระบบการอายัดบัญชีให้ทันท่วงที ควบคู่ไปกับการป้องกันการจู่โจมทางไซเบอร์จาก ต่างประเทศ ผ่านแผนงานการสร้างศูนย์เตือนภัยไซเบอร์ (Cyber Alert Center) ที่มีประสิทธิภาพ
พร้อมส่งเสริมการยกระดับศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศทุกระดับ เตรียมความพร้อมภาครัฐและภาคเอกชนด้านข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยการให้ความรู้และส่งเสริมให้เกิดความพร้อมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการส่งเสริมระบบคลาวด์กลางภาครัฐทั้งในระดับความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดและระดับทั่วไป อีกทั้งเทคโนโลยี Blockchain ยังจะมาช่วยเสริมเครื่องยนต์ที่ 2 ในการตรวจสอบยืนยันตัว บุคคล การบันทึกหรือติดตามธุรกรรมทางการเงิน ที่ช่วยป้องกันการแอบอ้าง ปลอมแปลง เพิ่มความ โปร่งใส
.
เครื่องยนต์ที่ 3 การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ กระทรวงดีอี จะให้ความสำคัญกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ดิจิทัล สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ผ่านการ สร้างโรงเรียนโค้ดดิ้งสำหรับเด็กไทยทุกคน (Coding Thailand) และการสร้างห้องเรียนทางเลือกให้ เด็กมีสิทธิเลือกเรียนวิชาชีพอนาคต ตรงใจ ตรงตัว ตรงงาน รวมถึงการสร้างเด็กอาชีวะดิจิทัล (Digital Skills for Future Industries) สร้างแรงงานไทยให้มีทักษะและความรู้ด้านดิจิทัล โดยการสร้างห้องเรียนฟรีสำหรับคนไทยวัยทำงาน จัดให้มีห้องเรียนเปิดด้านดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของคนไทย เรียนฟรี 24 ชั่วโมง ช่วยให้คนวัยทำงานทุกคนมีโอกาส Upskill และ Reskill ทักษะที่เหมาะสมกับตัวเองและทักษะอื่นที่จำเป็นสำหรับงานในโลกอนาคตและจัดให้มีมาตรการทางภาษี เพื่อกระตุ้นการพัฒนาทักษะดิจิทัล (Incentives for Thais)
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้เรายังมุ่งการเพิ่มกำลังคนดิจิทัลในสาขาขาดแคลน โดยการพัฒนาระบบการศึกษาด้านดิจิทัลรูปแบบเปิด (Open Digital University) มุ่งพัฒนาระบบการเรียนบนโลกดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสให้คนไทยได้เรียนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลกผ่านระบบ 5G พัฒนาบุคลากรดิจิทัลโดยการส่งเสริมภาคอาชีวศึกษาเพื่อให้จบไปมีงานทำ พร้อมดึงดูดกำลังคนในสาขาที่ขาดแคลนยิ่งยวด โดยให้มี Global Digital Talent Visa สำหรับเด็กที่จบในมหาวิทยาลัย Top 600 ระดับโลกมีโอกาสได้มาท่องเที่ยวและทำงานกับบริษัทไทยที่มีความตกลงได้โดยสะดวก เพื่อประโยชน์ในการเติมเต็มกำลังคนของประเทศและสร้างโอกาสด้านดิจิทัลให้คนกลุ่มเปราะบาง ผ่านแผนงาน Digital for ALL หรือการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัยและผู้พิการเพื่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิต มีงานทำและมีรายได้
“เครื่องยนต์ที่ 3 ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มศักยภาพนักพัฒนาโปรแกรม (Programmer) ของไทยให้ขยายตลาดสู่อุตสาหกรรมดิจิทัลในอนาคต เช่น Web3 ร่วมกับภาคการศึกษาและพันธมิตรระดับสากลที่มาร่วมงาน ผมดีใจที่ได้เห็นความร่วมมือจาก Blockchain Protocol ระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ที่สนใจเข้าร่วมงานในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ในฐานะ ตัวแทนภาครัฐ ประเทศไทยพร้อมจะเป็นเวทีกลางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่อยู่บนโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ในภูมิภาค โดยจะผลักดัน ecosystem และกลไกภาครัฐดังที่กล่าวมาให้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าว
.
สำหรับงานประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ Blockchain to Government Conference (B2GC) : Where Government Meets with Blockchain’s World Leaders มีกำหนดจัดขึ้น 3 วันคือระหว่างวันที่ 17 - 19 มกราคม ณ Blockchain Technology Center (BTC) จังหวัดภูเก็ต โดยในการประชุมจะเน้นบทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชนในการยกระดับบริการภาครัฐในด้านการพิสูจน์ตัวตน การเงิน การศึกษา สาธารณสุข การใช้สิทธิออกเสียง และด้านอื่น ๆ ที่ต้องการความเชื่อมั่นของรัฐ เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงาน ภาครัฐนำไปศึกษา ต่อยอดและประยุกต์ใช้จริง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีชื่อเสียงและ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดมากมาย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น