โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ประะกาศประชาสัมพันธ์ #Soft Power เดลิมิเร่อร์ออนไลน์ ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ ร่วมพลังทำ "ความดี" #ด้วยใจ เพื่อชาวประชา # ชายแดนใต้ คือ"เพชร" ที่เจียระไนและมีค่ามากมาย ต่อมวลมนุษยชาติ #วันนี้"วันดี" ขอเชิญชวน "พ่อแม่ พี่น้อง" จิตอาสาทุกๆท่าน มาร่วมกันคิด ในการแต่งเพลง และผู้ที่มีความรู้ ในการแต่งเพลง "ทำนองทางใต้" นี้ คือ เอกลักษณ์ ที่มีคุณค่า ใน 4 จังหวัด


ประะกาศประชาสัมพันธ์  #Soft Power   เดลิมิเร่อร์ออนไลน์ ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

ร่วมพลังทำ "ความดี" #ด้วยใจ เพื่อชาวประชา  # ชายแดนใต้ คือ"เพชร" ที่เจียระไนและมีค่ามากมาย ต่อมวลมนุษยชาติ

#วันนี้"วันดี" ขอเชิญชวน "พ่อแม่ พี่น้อง" จิตอาสาทุกๆท่าน มาร่วมกันคิด  ในการแต่งเพลง และผู้ที่มีความรู้ ในการแต่งเพลง "ทำนองทางใต้"  นี้ คือ เอกลักษณ์  ที่มีคุณค่า  ใน 4 จังหวัด  




ได้น้อมนำพระราชดำรัส ร.9 "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"มาเป็นแนวทางในการคิดพัฒนาและขับเคลื่อนในมิติต่างๆ 

# บทเรียนชีวิต นี้คือ# "ตำรา" เล่มแรก ที่มีค่าต่อมวลมนุษยชาติ (ประชากรมากกว่า 70 ล้านคน) #วันนี้เราพร้อมแล้วที่ จะทำความดีให้เกิดขึ้น ในยุคโลกาภิวัฒน์

#"ประกาศ.." เชิญชวน เพื่อนร่วมโลก และพ่อแม่ พี่น้อง ที่มีจิตอาสา..ทุกท่านๆ

#ที่มีความรู้.. การแต่งเพลง.. #มาร่วมกันคิด ..และร่วมกันแต่งเพลง...ทำนองทางใต้....ให้เกิดขึ้นในยุคของเรา...แต่ละจังหวัดฯ ดังนี้.-. 1จ.สงขลา 2. จ.ปัตตานี 3. จ.ยะลา 4. จ.นราธิวาส รายละเอียด..ที่เกี่ยวกับ #Soft Power...

..




-การท่องเที่ยวทางน้ำ ทางบก อื่นๆ -วัด...พระ...เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว วัดช้างไห้ โครงการพระราชดำริ จ.นราธิวาส

ของดีในแต่ละจังหวัด วัฒนธรรม...เช่นงานเดือนสิบ...อื่นๆแหล่งท่องเที่ยวต่างๆอาหาร...ขึ้นชื่อไหว้พระ9วัด

ในแต่ละจังหวัด การแสดงมโนรา..หนังตะลุงอื่นๆ #นายประพันธ์ ฤทธิวงศ์บก.เดลิมิเร่อร์ ออนไลน์@ ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

ติดต่อ โทร.. 0831850549 #ดร.พิเชฐ สุดเดือน ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เดลิมิเร่อร์ออนไลน์ ประจำภาคใต้ตอนล่าง ติดต่อ โทร.. 0898702429 #ร่วมพลังทำความดี  เพื่อ"มวลมนุษยชาติ"  ในยุคของเรา #"ตำนาน" ตลอดไป

   ประพันธ์  ฤทธิวงศ์ บก.เดลิมิเร่อร์@ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ สื่อยุคใหม่ สะท้อนความจริง ส่องทุกมุมมอง สู่..ชายแดนใต้



วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566

บก.เดลิมิเร่อร์ ออนไลน์ ปลายด้ามขวาน ชายแดนใต้ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และความอาลัยยิ่ง การถึงแก่อนิจกรรม ของศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อธิการบดี ผู้ก่อตั้ง และนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

#บก.เดลิมิเร่อร์ ออนไลน์ ปลายด้ามขวาน ชายแดนใต้ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และความอาลัยยิ่งการถึงแก่อนิจกรรม ของศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อธิการบดี ผู้ก่อตั้ง และนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 



#นายประพันธ์ ฤทธิวงศ์ #บก.เดลิมิเร่อร์ ออนไลน์ ปลายด้ามขวาน ชายแดนใต้ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และความอาลัยยิ่ง 

การถึงแก่อนิจกรรม ของศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อธิการบดี ผู้ก่อตั้ง และนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 

#นายประพันธ์ ฤทธิวงศ์

บก.เดลิมิเร่อร์ ออนไลน์@ ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

#ดร.พิเชฐ สุดเดือน

ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เดลิมิเร่อร์ออนไลน์ ประจำภาคใต้ตอนล่าง

ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

และร่วมไว้อาลัย

ไว้ ณ ที่นี้ ..

ขอให้ดวงวิญญาณ

ของท่านศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน

ไปสู่สุคติเทอญ

มึนงงกับการศึกษาที่มา สว.ใหม่ สรุปคือมี 200 คน มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

 มึนงงกับการศึกษาที่มา สว.ใหม่ สรุปคือมี 200 คน มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

……


หยิบรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาอ่านอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาจากสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดแต่งตั้งพิเศษจาก คสช.ตามบทเฉพาะกาล 250 คน ใกล้จะหมดวาระในช่วงกลางปี 2567 (พฤษภาคม) และสว.ชุดใหม่ที่มาแบบใหม่เป็นสว.ตามบทหลักภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 แต่จากการอ่านหมวดว่าด้วยสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 107 เขียนไว้ซับซ้อนเข้าใจยากถึงที่มาจาก สว.ชุดใหม่ ต้องไปอ่านพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ก็พอจะเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ลึกซึ้งมากนัก ต้องหาผู้รู้ด้านกฎหมายมหาชนมาอธิบายอีกครั้ง


เอาคร่าวๆนะครับว่า ตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดให้มี

 สว. 200 คน เลือกกันเองจากกลุ่มอาชีพต่างๆ และกลุ่มพิเศษคัดเลือกกันเอง

 

รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดหลักการที่มาและจำนวนวุฒิสภาตามบทบัญญัติหลัก โดยให้สว.มีแค่ 200 คน  วาระดำรงตำแหน่งคราวละห้าปี ซึ่งจะเริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผล มีที่มาจากการที่ผู้สมัครตามแต่ละกลุ่มอาชีพ “เลือกกันเอง”  โดยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน ทำงานหรือเคยทำงานด้านๆ ต่าง ที่หลากหลายของสังคม ซึ่งรายละเอียดการจัดสรรกลุ่มอาชีพต่างๆ จำนวนและหลักเกณฑ์ขั้นตอนการเลือกกันเองอย่างชัดเจนจะถูกลงไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2561  (พ.ร.ป.วุฒิสภา) 

 

พ.ร.ป.วุฒิสภา มาตรา 10 และมาตรา 11 กำหนดให้ผู้สมัคร สว.สามารถเลือกสมัครเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ได้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งมีจำนวน 18 กลุ่ม และกลุ่มพิเศษอีกสองกลุ่มคือ กลุ่มสตรี และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ รวมจำนวนทั้งหมด 20 กลุ่ม ดังนี้

-กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง  เช่น อดีตข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มการสาธารณสุข เช่น แพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เภสัชกร  หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มพนักงานลูกจ้างที่ไม่ใช่ราชการหรือหน่วยงานรัฐ ผู้ใช้แรงงาน  อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาฯ และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อยตามกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจาก (9)

-กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการอื่นหรือพนักงานโรงแรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

-กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตรกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 

กลุ่มสตรี

-กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 

-กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 

-กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 

-กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 

-กลุ่มอื่นๆ 

 

โดยผู้สมัครจะต้องมีไม่มีลักษณะต้องห้ามต่างๆ ตามมาตรา 14 เช่น ไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และต้องมีคุณสมบัติครบตามมาตรา 13 ดังนี้

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 

อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ในวันสมัครรับเลือก

มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี 

ผู้สมัครต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ เกิดในอำเภอที่สมัครรับเลือก,มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันสมัครรับเลือก,เคยทำงานหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก แล้วแต่กรณีเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี,เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอสมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา  

ทั้งนี้ คุณสมบัติเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี นั้น จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้ที่สมัครในกลุ่มสตรีหรือกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มอัตลักษณ์อื่น นอกจากนี้ หากเป็นผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในข่าย “อื่น ๆ หรือในทำนองเดียวกัน” จะต้องเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย

 

ที่มา สว. ให้เวียนเลือกกันเอง ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศ

 

ที่มาของสว.ชุดใหม่ เมื่อผู้สมัครคุณสมบัติผ่านฉลุยก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกกันเองภายใน 20 กลุ่ม ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกสมัครได้แค่หนึ่งกลุ่มและในหนึ่งอำเภอเท่านั้น (มาตรา 15)  โดยทุกกลุ่มจะทำการเลือกกันเองตั้งแต่ในระดับอำเภอ พอได้ตัวแทนระดับอำเภอก็ไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับจังหวัด จากนั้นค่อยไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับประเทศ จนได้สมาชิกครบ 200 คน ซึ่งขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้

 

ด่านแรก เลือกกันเองในระดับอำเภอ (มาตรา 40) 

 

ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม  

เริ่มด้วยการเลือกกันเองภายในกลุ่มที่ผู้สมัครเลือกสมัครก่อน ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน 

ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม 

 

ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สามอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับจังหวัด 

กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆกัน 

ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ 

ผู้ได้คะแนนสามลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับอำเภอสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับจังหวัดต่อไป 

 

ด่านที่สอง เลือกกันเองในระดับจังหวัด (มาตรา 41) 

 

ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม  

ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน

ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม 

 

ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับประเทศ

กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน 

ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเอง

ผู้ได้คะแนนสูงสุดสองลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับจังหวัดสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับประเทศต่อไป 

 ด่านที่สาม เลือกกันเองในระดับประเทศ (มาตรา 42) 

 ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ 40 คนแรกของแต่ละกลุ่ม

ผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 10 คน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน

ผู้ได้คะแนนสูงสุด 40 อันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม ในขั้นนี้หากแต่ละกลุ่มได้ไม่ครบ 40 คน ก็ให้ถือตามจำนวนเท่าที่มี แต่จะน้อยกว่า 20 คนไม่ได้ โดยผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศจะจัดให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือก ซึ่งยังอยู่ ณ สถานที่เลือกนั้น เลือกกันเองใหม่จนกว่ากลุ่มนั้นจะมีจำนวนอย่างต่ำถึง 20 คน 

 ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม โดย 10 คนแรก ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็น สว.

กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆกัน 

ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละไม่เกินห้าคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ 

ผู้ได้คะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นสว. สำหรับกลุ่มนั้น และผู้ที่ได้ลำดับที่ 11 ถึง 15 จะเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีสำรองของกลุ่มนั้น 

 โดยสรุป เมื่อผ่านการเลือกกันเองของกลุ่มผู้สมัคร สว.ทั้งหมดสามด่านแล้ว ก็จะได้ตัวแทนจากแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน เป็นตัวจริงที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นสว. ยกตัวอย่างเช่น  นาย ก.เคยเป็นครู ทำงานมาแล้ว 20 ปี อยากเป็นสว. ดังนั้น นาย ก.จึงไปสมัครตามอำเภอที่ตนพำนัก เพื่อเข้ารับเลือกในกลุ่มอาชีพที่ตนเชี่ยวชาญคือกลุ่มการศึกษา เมื่อตรวจคุณสมบัติผ่านก็ต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกกันเองสามด่าน ซึ่งนั่นหมายความว่า นาย ก. จะเป็นทั้งผู้มีสิทธิเลือกสว.และเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็นสว.ไปพร้อมกัน และการที่ 'นาย ก.' จะเป็นสว.ได้นั้น  นาย ก.ต้องติด Top 40 ของประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในกลุ่มอาชีพเดียวกัน และยังต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัครกลุ่มอื่นๆ ถูกเลือกจนกลายเป็น Top 10 ของกลุ่มการศึกษา และเป็นหนึ่งใน 200 คนที่ได้รับตำแหน่งสว. ในที่สุด 

 การได้มาซึ่ง สว. ด้วยวิธีการ "คัดเลือกกันเอง" นับว่าเป็นแบบไม่ง้อการเลือกตั้งจากประชาชน โดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เคยให้สัมภาษณ์ ไว้ว่า “ประชาชนเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยตรง และไม่ต้องอิงกับพรรคการเมืองเพราะไม่ต้องหาเสียง เขาก็คุยกันเฉพาะแต่ในกลุ่มบุคคลที่สมัคร กลไกในลักษณะนี้จะทำให้สว.ปลอดจากการเมือง มาจากทุกสาขาอาชีพ มาจากคนทั่วประเทศ และกลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็คือ ‘ประชาชน’

อ่านทั้งรัฐธรรมนูญ และ พรป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ก็พอจะประมวลได้แค่นี้ แต่ก็ยังยากจะเข้าใจอยู่ ยังต้องหากูรูกฎหมายมหาชนมาอธิบายคำว่า “กลุ่ม” กับ “สาย” และ “ขั้น”ต่างๆที่เขียนไว้ซับซ้อนไม่น้อย

สรุปง่ายๆคือ สว.มี 200 คน ในขั้นต้นเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพเดียวกัน ค่อยไปเลือกข้ามกลุ่มเมื่อมีการแบ่งสาย ค่อยๆทำความเข้าใจไปครับ

 #นายหัวไทร

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

บก.เดลิมิเร่อร์ออนไลน์ ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ ขอแสดงความยินดี นายกูเฮง. ยาวอหะซัน ได้รับตำแหน่ง.เลขานุการ รมว.กระทรวงยุติธรรม ..."ร่วมพลังพรรคเป็น1" เพื่อชาวประชา ชายแดนใต้ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ต้องเกิดขึ้นในยุคนี้"ตำนานคนดี" เพื่อชายแดนใต้ ที่รอคอย (มีคลิป)

 บก.เดลิมิเร่อร์ออนไลน์  ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ ขอแสดงความยินดี นายกูเฮง. ยาวอหะซัน  ได้รับตำแหน่ง.เลขานุการ รมว.กระทรวงยุติธรรม ..."ร่วมพลังพรรคเป็น1" เพื่อชาวประชา ชายแดนใต้ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ต้องเกิดขึ้นในยุคนี้"ตำนานคนดี" เพื่อชายแดนใต้ ที่รอคอย (มีคลิป)



ประพันธ์  ฤทธิวงศ์ บรรณาธิการเดลิมิเร่อร์ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ /รายงาน

 ทวี” รุกขยายฐานการเมือง - ดึงบ้านใหญ่นราฯเข้าชายคา

    สำหรับ อาจารย์วันนอร์ หากลาออกจากตำแหน่งประธานสภา ก็จะไม่มีตำแหน่งอะไรเหลือ เพราะตำแหน่งในพรรค คือหัวหน้าพรรคประชาชาติ ก็ได้ลาออกมาก่อนหน้านี้แล้ว เปิดทางให้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง นั่งหัวหน้าพรรคแทน

พันตำรวจเอก ทวี ก็กำลังเดินเกมสร้างพรรคให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการขยายฐานที่มั่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กว้างและแข็งแกร่งกว่าเดิม

เริ่มจากมอบตำแหน่งให้กับ คุณกูเฮง ยาวอหะซัน ซึ่งพลาดเก้าอี้ สส.นราธิวาส เพราะพ่ายศึกเลือกตั้งแบบพลิกความคาดหมาย แต่ก็ยังให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

คุณกูเฮง เป็นลูกชายของ นายก กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ. นราธิวาส ที่ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี

นายก กูเซ็ง ถือเป็น “บ้านใหญ่” ของการเมืองบางนรา / เป็น “กลุ่มการเมืองดาวฤกษ์” ไม่ว่าจะสวมเสื้อพรรคไหน ชาวบ้านก็ไว้วางใจ ได้เข้าสภาตลอด ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทย ชาติไทยพัฒนา พลังประชารัฐ และล่าสุดรวมไทยสร้างชาติ

แต่เมื่อมีพรรคประชาชาติในสมรภูมิเลือกตั้งเมืองนราฯ ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 เป็นต้นมา ตระกูล “ยาวอหะซัน” แยกสังกัด 2 พรรค โดยให้ คุณกูเฮง อยู่กับพรรคประชาชาติ ส่วนตัว นายก กูเซ็ง บิดา และ คุณวัชระ ยาวอหะซัน พี่ชายของคุณกูเฮง เข้าค่ายพลังประชารัฐ และต่อด้วยรวมไทยสร้างชาติในปัจจุบัน

ก่อนเลือกตั้งปี 66 มีข่าว “บ้านใหญ่กูเซ็ง” อาจตัดสินใจร่วมงานกับพรรคประชาชาติ เพื่อจับมือกันสู้ศึกเลือกตั้งนราธิวาสที่เพิ่มจำนวนเขตเป็น 5 เขต สส. 5 คน จากเดิมแค่ 4 เขต

แต่สุดท้าย “บ้านใหญ่” ก็แยกกันเดิน นายก กูเซ็งให้ลูกชายคนโต คือ คุณวัชระ ย้ายออกจากพลังประชารัฐ ไปสังกัดรวมไทยสร้างชาติ (จากพรรคลุงป้อม มาอยู่พรรคลุงตู่) ส่วน คุณกูเฮง ยังยืนยันสู้ต่อกับประชาชาติ แต่สุดท้ายพ่ายแพ้ / สอบตกอย่างพลิกความคาดหมาย ส่วนพี่ชาย คือ คุณวัชระ ยังฝ่าด่านหินเข้าสภาได้

หลังเลือกตั้งจึงมีข่าวสะพัดมาอีกระลอกว่า น่าจะถึงเวลาที่ กูเซ็ง ตัดสินใจพา “บ้านใหญ่” เข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรคประชาชาติ เพราะรวมไทยสร้างชาติน่าจะไม่มีอนาคตในการเลือกตั้งหนหน้า เนื่องจาก “ลุงตู่” วางมือเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่สำนักงาน อบจ.นราธิวาส ต.โคกเคียน อำเภอเมือง จ.นราธิวาส / พันตำรวจเอก ทวี  ได้เดินทางเข้าพบ “นายก กูเซ็ง” พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ. เพื่อหารือแนวทางการร่วมมือกันพัฒนาจังหวัด และแก้ไขปัญหาของนราธิวาสในทุกมิติ

และโอกาสนี้เองที่ พันตำรวจเอก ทวี ได้เอ่ยขออนุญาตกับ “นายก กูเซ็ง” ขอให้ลูกชาย คือ คุณกูเฮง ยาวอหะซัน ไปเป็นเลขานุการรัฐมนตรีของตน ซึ่งนับเป็นการให้เกียรติ “บ้านใหญ่ยาวอหะซัน” สร้างความประทับใจกับ “นายก กูเซ็ง” อย่างมาก เพราะลูกชายพ่ายแพ้จากสนามเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองรองรับ

งานนี้ว่ากันว่า ปลายทางของบ้านใหญ่เมืองนราฯ หนีไม่พ้นชายคาพรรคประชาชาติ!

ประพันธ์  ฤทธิวงศ์ บรรณาธิการเดลิมิเร่อร์ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ สื่อยุคใหม่ สะท้อนความจริง ส่องทุกมุมมอง สู่ชายแดนใต้

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิด โครงการเรือเยาวชนป้องกันยาเสพติด รุ่นที่ 3ผนึกำลังคนรุ่นใหม่ 10 ประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด (มีคลิป)

นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิด โครงการเรือเยาวชนป้องกันยาเสพติด รุ่นที่ 3ผนึกำลังคนรุ่นใหม่ 10 ประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด (มีคลิป)





วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาเครือข่ายเยาวชนระหว่างประเทศ เพื่อการป้องกันยาเสพติด รุ่น 3 (the 3 rd Youth Network on Drugs Prevention Program : YNDPP) พร้อมด้วย  H.E. Datuk Jojie Samuel (ดาตุ๊ก โจจี ซามูเอง) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย  Mr.Virgaliano Nahan (เวอร์กาลีอาโน นาฮานี) ทูตฝ่ายอัยการจากประเทศอินโดนีเซีย  Undersecretary Earl P. Saavedra (เอิร์ล พี ซาอาวีดรา) ผู้อำนวยการคณะกรรมการยาเสพติดอันตราย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์  นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.  ผู้แทนจาก UNODC ผู้แทนเอกอัครราชทูต และเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จาก 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม ติมอร์-เลสเต ไทย และผู้บริหาร สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมงานกว่า 100 คน ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงาน ป.ป.ส. 

ก่อนการเปิดพิธี ผู้แทนเยาวชนจากทั้ง 10 ประเทศได้ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับมุมมองของยาเสพติด โดยเยาวชนแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงพลังของคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการถึงสังคมที่ปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด

นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าว แสดงความยินดีที่ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานเยาวชนป้องกันยาเสพติดในครั้งนี้ และยินดีที่ได้เห็นประเทศถึง 10 ประเทศ เห็นพ้องกับโครงการนี้และส่งเยาวชนเข้าร่วม เพราะอย่างเราทราบกันดีถึงปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อประเทศในประชาคมโลก


นายกูเฮง ยาวอหะซัน ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด ต่อกลุ่มเด็กเยาวชนเหล่านี้จะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ยั่งยืน และรัฐบาลให้ความสำคัญในสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่เพียงแต่เราประเทศเดียวแต่ประเทศต่างๆ ต้องก้าวไปด้วยกันเพื่ออนาคตของเยาวชนของเราเอง


นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ประเทศไทยและนานาชาติ อยากเห็นพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญต่อประเทศชาติในอนาคต จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดเป็นพลังสังคม เกิดความสร้างสรรค์ และเป็นเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเยาวชนยังสามารถส่งต่อแรงบันดาลใจสร้างการมีส่วนร่วมป้องกันยาเสพติด ไปยังเพื่อนๆ เพื่อร่วมสร้างรากฐานที่ดีให้กับประเทศในภูมิภาคในการป้องกันยาเสพติด

โครงการนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 10 วัน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน ถึง วันที่ 8 ตุลาคม 2566 โดยนำผู้แทนเยาวชนจาก 10 ประเทศ ช่วงอายุระหว่าง 18 - 24 ปี เข้าร่วมอภิปรายศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการศึกษาดูงานยาเสพติดในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และ สปป.ลาว รวมถึงการเสริมสร้างเครือข่าย ความร่วมมือระหว่างเยาวชน ให้เข้าใจถึงต้นตอและเส้นทางของปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญในการดำเนินงานป้องกันยาเสพติด ตามบริบทของแต่ละประเทศ”


 “ตั้งแต่การจัดโครงการนี้ในครั้งแรกเราดีใจได้เห็น พลังของเยาวชน และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ที่เห็นด้วยกับการกิจกรรมเช่นนี้ ตนยังมีความยินดีที่ได้แสดงให้เห็นว่าความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้นไม่ควรแบ่งแยกประเทศ และเราล้วนมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด”


"ผมหวังว่าเยาวชนทั้ง 10 ประเทศจะได้เก็บเกี่ยวความรู้ มิตรภาพและประสบการณ์ จากการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต การเรียน การทำงาน ที่อาจเกี่ยวข้องกับงานยาเสพติดในอนาคต หรือต่อยอดความรู้และกิจกรรมไปสู่ระดับนานาชาติต่อไป ซึ่งการสร้างการรับรู้เข้าใจในเรื่องยาเสพติดถือเป็นนโยบายสำคัญตามมาตรการการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนของรัฐบาล” นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าว


-------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2566

นาย เชษฐา พี เซียวตง ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์ เข้าพบ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ (หมอหนุ่ย) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

 นาย เชษฐา พี เซียวตง ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์  เข้าพบ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ (หมอหนุ่ย) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 




วันนี้ 26 กันยายน 2566 ที่กระทรวงคมนาคม   นาย เชษฐา พี เซียวตง 

ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์ และนายแพทย์ ประสงค์ บูรณ์พงศ์ 

อดีตรัฐมนตรี 5 สมัย  สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร์ 15 สมัย และผู้ช่วยาสตราจารย์ดอกเตอร์ สัญลักษข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทขนส่ง จำกัดเข้าพบ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ (หมอหนุ่ย) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 

 ประพันธ์  ฤทธิวงศ์ บรรณาธิการเดลิมิเร่อร์ปลายด้ามขวานชายแดนใต้ /รายงาน

พ.ต.ท. ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรมร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ แถลงข่าว จับยาเสพติดล็อตใหญ่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท (มีคลิป)

พ.ต.ท. ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรมร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ แถลงข่าว จับยาเสพติดล็อตใหญ่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท (มีคลิป)






วันนี้(28 ก.ย. 66) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ว่าที่ ผบ.ตร. คนที่ 14 แถลงผลทลายเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จ.นครปฐม รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากการสืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดของกลุ่มนายอภิชาติกับพวกรวม 3 คน  มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาเสพติด โดยใช้รถยนต์จำนวนหลายคันสลับสับเปลี่ยนตระเวนส่งยาเสพติดให้กับลูกค้าบริเวณ ถ.บรมราชชนนี และพื้นที่พุทธมณฑลสาย 5  เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าสืบสวนติดตามเรื่อยมาจนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้เช่าบ้านไว้เป็นที่ซุกซ่อนยาเสพติดในพื้นที่

ต.ลําพญา อ.เมือง จ.นครปฐม จนกระทั่งนํากําลังเข้าตรวจค้นตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้ากว่า 15 ล้านเม็ด ไอซ์ 420 กก. เฮโรอีน 443 แท่ง แฮปปี้วอเทอร์ 3 กระสอบ ไฟว์ไฟว์ 4 กระสอบ รถยนต์ 9 คัน โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คน ซึ่งเชื่อว่ามีพฤติกรรมเชื่อว่าน่าจะกำลังนำยาเสพติดไปส่งให้กับลูกค้า

จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ให้การยอมรับสารภาพว่าได้เช่าบ้านหลังดังกล่าวไว้เป็นที่ซุกซ่อนยาเสพติดเพื่อทยอยลักลอบส่งยาเสพติดให้กับกลุ่มผู้ค้าในพื้นที่ปริมณฑลจริง ก่อนแจ้งข้อหา "ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต,ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต"

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน เพราะปัญหายาเสพติดถือเป็นภัยระดับชาติ โดยหลังจากนี้จะมีการยกระดับการป้องกันการลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศ และขอยืนยันว่ายาเสพติดทั้งหมดที่ตรวจยึดได้นั้นจะมีการเผาทําลายทิ้งไม่มีการหมุนเวียนกลับมาอย่างแน่นอน


ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวเพิ่มว่า การจับกุมในครั้งนี้ถือเป็นล็อตใหญ่ที่สุดและยืนยันว่าไม่ใช่การจัดฉากหลังได้รับแต่งตั้งเป็นว่าที่ ผบ.ตร. แต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ที่สั่งการให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เร่งปราบปรามปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่วนเหตุผลที่ยาล็อตนี้มีจํานวนมากเพราะกลุ่มผู้ต้องหามีการนํายาเสพติดทั้งหมดมาเก็บรวมไว้ที่บ้านหลังนี้เพื่อเลี่ยงการตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่ โดยยาเสพติดส่วนใหญ่นําเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งใช้เวลาสืบสวนแกะรอยนานกว่า 2 ปี  ถือว่าเป็นเครือข่ายรายใหญ่ โดยหลังจากนี้จะมีการจยายผลเพิ่มเติมและเดินหน้าปราบปรามทลายขบวนการเหล่านี้ให้หมดไป

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

ผู้ว่าฯนราธิวาส ร่วมเปิดงาน OTOP Midyear 2023 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธานในพิธีเปิดงาน (ชมคลิป)

 ผู้ว่าฯนราธิวาส ร่วมเปิดงาน OTOP Midyear 2023 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธานในพิธีเปิดงาน (ชมคลิป)







วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2566 ณ เวทีกลางอาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัด นนทบุรี  นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน OTOP Midyear 2023 ภายใต้แนวคิด “ที่สุดแห่งภูมิปัญญา รังสรรค์จากการพัฒนา เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย” มีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย คณะทูตานุทูต คณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานภาคี ผู้ประกอบการ OTOP และประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวรายงาน 





นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการขยายผลและสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และมีการพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP โดยการพัฒนาผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และเพิ่มช่องทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้น จะเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้แสดงให้ชาวไทย และชาวต่างชาติได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP


 และคาดหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เป็นการเพิ่มรายได้ และเพิ่มช่องทางในจำหน่ายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ของชุมชน รวมถึงเพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุด ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่มีคุณค่า เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย อีกทั้งตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ของประชาชนด้วยโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และมีการพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP โดยการพัฒนาผู้ผลิตผู้ประกอบการ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับ 3-5 ดาว ได้ขยายช่องทางตลาด ยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนไปสู่สากล

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มรายได้และลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ผ่านโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ที่สามารถกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ชนบท ได้อย่างแท้จริง กิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการดังกล่าวประกอบด้วย การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP การส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และการส่งเสริมช่องทางการตลาด


การจัดงาน "OTOP Midyear 2023" ในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมการตลาดสินค้า OTOP และกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปีที่สำคัญงานหนึ่งของประเทศไทยคาดว่าจะสามารถขยายตลาด และสร้างการรับรู้ให้กับงานศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาของ คนไทยให้สามารถแพร่หลายและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งชาวไทย และต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมกาพัฒนชุมชนได้มีการนำนวัตกรรมด้านต่างๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

อาทิ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงาม คงทน ง่ายต่อการเก็บรักษาและการขนส่ง, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีอายุยาวนานขึ้น มีความทันสมัยเหมาะแก่การใช้งานมากยิ่งขึ้น เป็นต้น โดยการนำนวัตกรรมเหล่านั้นมาเสริมให้ผลิตภัณฑ์ OTOP น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ตรงกับ ความต้องการของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องจะสามารถเป็นการเพิ่มรายได้ และยกระดับความเป็นอยู่ของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ให้ดียิ่งขึ้น


ในการนี้ จังหวัดนราธิวาส โดย นายสนั่น  พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นางสาวสุนีย์ มาหะ ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนราธิวาส ได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน OTOP Midyear 2023 ในวันนี้ ตลอดจนได้เยี่ยมชมและกล่าวให้กำลังใจผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดนราธิวาสที่เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายในงาน “OTOP MIDYEAR 2023″ ดังกล่าวด้วย


ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดนราธิวาส ที่เข้าร่วมจำหน่าย ภายในงาน OTOP Midyear 2023 ประจำวันที่ 25 กันยายน 2566 คือ 213,700 บาท  โดยมียอดจำหน่ายสะสมอยู่ที่ 758,100 บาท


ภาพ/ข่าว : สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนราธิวาส