“พาณิชย์” เผย ส่งออกภาพรวม 10 เดือน มีมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9.1% ปัจจัย เงินบาทอ่อนค่า เชื่อทั้งปีส่งออกเกินเป้า
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกไทยในเดือนตุลาคม 2565 ว่า
ขยายตัวติดลบครั้งแรกในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม ที่ 4.4% หรือมูลค่า
21,772.4 ล้านดอลลาร์ หรือเงินบาทมีมูลค่า 801,273 ล้านบาท โดยเดือนตุลาคม กลุ่มสินค้าเกษตรติดลบ4.3% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ติดลบ2.3%
และสินค้าอุตสาหกรรมติดลบ3.5%
ส่วนการนำเข้าติดลบ2.1% มูลค่า 22,368.8 ล้านดอลลาร์และดุลการค้าติดลบ
596.4 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ภาพรวม 10เดือน (มกราคม-ตุลาคม)
การส่งออกไทยยังขยายตัว 9.1% โดยมีมูลค่า 243,138.5
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือเป็นบาทมีมูลค่า 8,325,091 ล้านบาท การนำเข้าขยายตัว18.3%
มูลค่า 258,719.8 ล้านดอลลาร์
สำหรับปัจจัยบวกที่หนุนการส่งออกคือ
ค่าเงินบาทที่ยังอ่อนตัวอยู่มีส่วนช่วยหนุนการส่งออก เศรษฐกิจคู่ค้าบางประเทศ
ประเทศไทยมีตลาดใหม่ๆ ที่ยังขยายตัวได้ดีอยู่หลายตลาด เช่น ซาอุดีอาระเบีย
ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่สามารถทำตัวเลขได้ดีอยู่ในปัจจุบัน
และรวมไปถึงตลาดตะวันออกกลาง ตลาดออสเตรเลีย และตลาดสหราชอาณาจักร เป็นต้น
ส่วนปัจจัยลบที่มีส่วนสำคัญกับตัวเลขส่งออกถัดจากนี้ไปบางช่วงเวลา
เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง โดยกระทรวงพาณิชย์
และเอกชนประเมินเห็นตรงกันว่าถัดจากนี้ไปเราต้องฟันฝ่าเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวตั้งแต่ปีนี้
จนถึงปีหน้า
ขณะที่การส่งออก 2 เดือนที่เหลือของปี
(พ.ย.-ธ.ค.) ยังประเมินไม่ได้ แต่เชื่อว่าการส่งออกทั้งปี 2565 จะขยายตัวเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
4% ซึ่งเชื่อว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว
ส่วนมูลค่าในรูปเงินบาทตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 9 ล้านล้านบาท
ที่มีแนวโน้มเกินกว่าที่ตั้งไว้
"ปัจจัยที่กระทบส่งออกมาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง
จากการใช้นโยบายการเงินตึงตัวเพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ
ส่งผลต่อกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้บริโภค และจีนยังใช้มาตรการ Zero
COVID เพื่อคุมโควิด-19
ส่งผลให้การส่งออกสินค้าหลายหมวดชะลอตัว
รวมถึงแรงเสียดทานจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยกระทรวงพาณิชย์และเอกชนประเมินตรงกันว่าถัดจากนี้ต้องฟันฝ่าเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวตั้งแต่ปีนี้ถึงปีหน้า"
สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
พบว่าหดตัว 3.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หดในรอบ 23 เดือน
แต่มีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ขยายตัว 2.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน
โดยขยายตัวในตลาดอิรัก จีน แอฟริกาใต้ เซเนกัลและญี่ปุ่น
รวมถึงไก่สด แช่เย็น แช่แข็งและไก่แปรรูป บวก
38.0% ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน โดยขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน
เนเธอร์แลนด์และมาเลเซีย
ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัว 26.3%
ขยายตัวในตลาดจีน ไต้หวัน มาเลเซีย เกาหลีใต้และอินโดนีเซีย
รวมถึงอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 0.9% ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน
ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย ลิเบีย และเกาหลีใต้
ขณะที่สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรสำคัญที่หดตัว
ได้แก่ ยางพารา ติดลบ 28.5% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐ
ตุรกีและอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เยอรมนี โรมาเนียและโปแลนด์
ผลไม้สดและผลไม้แห้ง ติดลบ 34.9%
หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน หดตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกงและสหรัฐ
แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ เนเธอร์แลนด์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และออสเตรเลีย
ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ติดลบ 11.3% หดตัวในรอบ
18 เดือน หดตัวในตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์และกัมพูชา
แต่ขยายตัวในตลาดจีน รัสเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้และเมียนมา
ทั้งนี้ เมื่อรวม 10 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
ขยายตัว 12.0%
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ติดลบ 3.5%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวในรอบ 20 เดือน
แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 5.1%
ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย เวียดนาม อินโดนีเซีย
ซาอุดีอาระเบีย และนิวซีแลนด์
อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ)
เพิ่มขึ้น 5.4% ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือน ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เบลเยียมและญี่ปุ่น
เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
เติบโต 90.6% ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน ขยายตัวในตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่น
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกงและเนเธอร์แลนด์
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เติบโต 8.5%
ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย เวียดนาม ไต้หวัน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฝรั่งเศส
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว อาทิ
สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ติดลบ 22.8% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน
หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม อินเดีย มาเลเซียและกัมพูชา แต่ขยายตัวในตลาดลาว
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ติดลบ 27.4%
กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์
ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดจีน ไต้หวัน ไอร์แลนด์ อินเดียและออสเตรเลีย
เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ติดลบ 13.1%
หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน หดตัวในตลาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และจีน
แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐ มาเลเซีย แคนาดา ลาว และกัมพูชา
ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2565
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 7.8%
นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป
การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินการเชิงรุกและลึก
เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวก การส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา
3 แนวทาง คือ
1.การผลักดันไทยให้เป็นแหล่งผลิตและแปรรูปข้าวเพื่อส่งออก
จากการที่อินเดียเริ่มขึ้นภาษีการส่งออกข้าว
จะเป็นช่องทางให้ไทยหาตลาดทดแทนตลาดอินเดีย ทั้งตลาดอินโดนีเซียหรือตลาดแอฟริกา
“การเร่งหาตลาดเคมีภัณฑ์เม็ดพลาสติกและตลาดข้าว
มีความสำคัญและตลาดผลิตภัณฑ์ยางพารา
ต้องเร่งส่งเสริมเพิ่มมูลค่าการส่งออกและการผลิต เช่นส่งเสริมการแปรรูปการทำยางล้อ
จูงใจใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น เร่งรักษาตลาดยานยนต์ของไทย
จะมีการนำคณะร่วมงานยานยนต์ระดับโลกจับมือกับเอกชนเดินหน้าต่อไป”
2.การหารือทวิภาคี กับรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
เพื่อจับคู่เครือข่ายภาครัฐและเอกชนตามแนวคิด Co-create Vision เพื่อลงทุนซื้อขายสินค้าและบริการ
การบริหารซัพพลายเชนร่วมกัน รวมถึงการส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ
Green Economy นอกจากนี้ ไทยยังได้ขอให้ญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทให้ความรู้เกี่ยวกับ
กฎเกณฑ์กติกาในการส่งออกสินค้าเกษตรแก่ไทยด้วย
เนื่องจากปัจจุบันไทยยังส่งออกสินค้าเกษตรต่ำกว่าโควตา
ที่รัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้อยู่มาก
3.มาตรการส่งเสริมการส่งออกปาล์มน้ำมันของไทย
เพื่อรักษาสมดุลด้านราคาหลังอินโดนีเซียและมาเลเซียเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มสู่ตลาดโลก
ส่งผลให้ราคาปาล์มเริ่มปรับลดลง
โดยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.)
มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม และสนับสนุนการส่งออกกิโลกรัมละ 2 บาท
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้
“การส่งออกของไทยยังได้กรอบเป้าหมาย
โดยมีปัจจัยหนุนจากต้นทุนด้านพลังงานที่เริ่มลดลง
ค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่เข้าสู่สมดุล
อุปทานชิปประมวลผลที่มีมากขึ้นเพียงพอต่อการผลิตสินค้าเทคโนโลยีเพื่อการส่งออก
การขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ส่งผลดีต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
และเงินบาทที่ยังอ่อนค่า เมื่อเทียบกับคู่ค้าหลักของไทย
แม้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการหดตัวของอุปสงค์ในคู่ค้าสำคัญ
ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และจีน
รวมไปถึงความไม่สงบในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามใกล้ชิด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น