ปาฐกถาพิเศษ จัดโดย กรมบังคับคดี
กระทรวงยุติธรรม และสถาบันพระปกเกล้า ณ จ.เชียงใหม่
เมื่อวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2562 ที่
แกรนด์บอลรูม ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘คุณธรรมและจริยธรรมตามรอยพระยุคลบาทของเครือข่ายบังคับคดีและวิทยากรตัวคูณ‘
ให้แก่เครือข่ายบังคับคดีและวิทยากรตัวคูณ
ซึ่งกรมบังคับคดีคัดเลือกจากทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายบังคับคดีและวิทยากรตัวคูณของกรมบังคับคดี
หลักสูตร ‘พัฒนาศักยภาพเครือข่ายบังคับคดีและวิทยากรตัวคูณ‘
รุ่นที่ 3
โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า
ภูมิใจที่ได้กลับมาเยือน จ.เชียงใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านแห่งที่สอง
ที่ได้ชื่อว่าล้านนาไทย ซึ่งมีความมหัศจรรย์ในลักษณะภูมิประเทศที่สง่างาม
จนเป็นที่หมายปองของมหาประเทศในยุคล่าอาณานิคม
แต่ก็สามารถรอดพ้นการรุกรานมาได้ตราบจนทุกวันนี้ เพราะผู้คนมีศีลธรรมและจริยธรรมที่เกิดจากธรรมชาติโดยแท้
ซึ่งคำว่า 'ธรรมชาติ' ก็คือ
'ธรรม' และการที่เราไม่ฝืนธรรมชาติก็คือ
การดำรงตนด้วยคุณธรรมจริยธรรม ไม่ทุจริตคดโกง รักษาความดีแห่งตนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่เป็นคนประเภทผีเข้าผีออก มีความโปร่งใส จึงอยากให้พี่น้องเพื่อนข้าราชการได้ยึดถือและประพฤติปฏิบัติตนไม่ออกนอกลู่นอกทางแต่ขอให้สำนึกว่าตนเองนั้นโชคดีและมีบุญที่ได้เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เป็นข้าต่างพระเนตรพระกรรณ ทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชบัญญัติ
(พ.ร.บ.) มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 มีความว่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ทำหน้าที่รัฐสภามีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทรวงทบวง
กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจองค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในฝ่ายบริหาร
พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ต้องประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม 7 ประการซึ่งประกอบด้วย
1.ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.ซื่อสัตย์สุจริต
มีจิตสำนึกที่ดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่
3.กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
4.คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และมีจิตสาธารณะ
5.มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน 6.ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
7.ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี และรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ
ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า
หากข้าราชการร่วมกันยึดมั่นเคร่งครัดและปฏิบัติตนตาม พ.ร.บ.นี้
บ้านเมืองก็จะสามารถขับเคลื่อนเดินหน้า ขอจงยึดมั่นสถาบันหลักของประเทศคือ ชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยยึดหลัก จริยธรรม
คุณธรรม ตามศาสตร์พระราชา พระราชปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้รักสามัคคี เข้าใจ
เข้าถึงและพัฒนา และผสานเข้ากับหลักการทำความดีด้วยหัวใจ
ประชาชนคนไทยมีความเป็นสุภาพชน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน จริงใจ ไม่หลงลืมตัว
ไม่อิจฉาริษยา อาศัยหลักนิติรัฐบวกกับความสามัคคีรักใคร่
ช่วยกันผลักดันประเทศให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ยาก
ในแบบที่เรียกว่าขนาดเล็กแต่ยิ่งใหญ่ เล็กแต่มีความงดงาม
ม.ล.ปนัดดา ย้ำข้าราชการยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม
บอกคนรุ่นใหม่สืบสานปณิธานคนรุ่นเก่า-ผสานวิทยาการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง
“การเป็นข้าราชการ คือ
การทำหน้าที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด
ช่วยเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมาต่อข้าราชการการเมืองซึ่งไม่ทราบในทุกเรื่อง
ไม่ใช่ประจบประแจงเอาใจกระทั่งเป็นความผิดตามกันไปหมด
เหมือนที่เคยเกิดกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในอดีต ขอเพียงอย่าเห็นผิดเป็นชอบ
การทำความดีต้องทำสม่ำเสมอ คือมีความเสมอต้นเสมอปลาย
ไม่ใช่พอมีอำนาจบาตรใหญ่แล้วหลงลืมตัว ลืมรากเหง้าตนเอง
เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน ซึ่งสังคมปัจจุบันมีความแบ่งแยก เช่น
มีบางคนไปพูดแบบไม่รู้เรื่องว่า ต่อไปไม่ต้องเรียกพี่ป้าน้าอาหรือการนับญาติ
ทั้งที่สิ่งนี้คือเอกลักษณ์ของชาติที่มีความรักใคร่สามัคคี ความอบอุ่นใจ
ความไม่ถือตัว หรือการที่เขาไปพูดว่า การยิ้มของคนไทยเป็นเรื่องไม่ฉลาด
ถือว่าคนพูดขาดประสบการณ์ชีวิตอย่างมาก เพราะเรื่องการยิ้มของคนไทย (Siamese
Smiles) มีที่มาจากชาวตะวันตกที่กล่าวชมเชยคนไทยหรือชาวสยามมานานมากแล้ว
และโดยเฉพาะภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยรอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ
มาได้อย่างอัศจรรย์ ทุกอย่างมีเหตุและผล มีที่มาที่ไป มีบุญคุณใหญ่หลวง
เป็นเรื่องราวในอดีตที่คนทุกรุ่นทุกสมัยต้องร่วมกันดำรงรักษา”
ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า คนรุ่นเก่า
รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ฯลฯ ที่วางรากฐานให้แผ่นดิน
เหมือนเช่นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ทรงมีกระแสพระราชดำรัสพระราชทานสอนไว้ว่าเมื่อใครผู้ใดทำความดีหรือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นสำเร็จ
สมควรยกคุณความดีทั้งหลายทั้งปวงให้กับบุพการี ครูอาจารย์
ที่สั่งสอนอบรมเลี้ยงดูเรามา อย่าได้สำคัญตนเอง
เพราะคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด ดังนั้น
คนรุ่นหลังควรมีความสุขุมรอบคอบ
และช่วยกันสืบสานปณิธานคนรุ่นเก่ามาผสานกับวิทยาการสมัยใหม่จากที่ได้เรียนรู้เพิ่มพูนขึ้นเพื่อพัฒนาไปสู่อนาคต
ให้ประเทศชาติเกิดความไพบูลย์รุ่งเรือง ไม่ใช่การพูดว่ากล่าวคนรุ่นเก่า
ซึ่งถือว่าผู้พูดขาดความรอบรู้และวุฒิภาวะ
เพราะผู้ใดก็ตามที่จะเข้ามาบริหารประเทศชาติต้องมีความสุขุมรอบคอบ มีความคิด
มีเหตุและผล ไม่ผลีผลาม ไม่ตีโพยตีพายว่ากล่าว ไม่สำคัญตนผิด จนเกิดความแตกแยก
อันจะทำให้เกิดการลบหลู่ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม
แล้วเราจะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง มีความสมัครสมานสามัคคีได้อย่างไร
“การอ่านหนังสือคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคนทุกคน
เพราะเป็นเรื่องที่มีคุณค่ามาก เนื่องจากโซเชียลมีเดียในหลายๆ เรื่อง ไม่สามารถเชื่อถือได้ครบถ้วน
ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเสียมาก
ข้าราชการจึงต้องเป็นผู้มีระเบียบวินัยในการครองตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เพราะปัจจุบันจุดอ่อนของสังคมไทย คือ การทะเลาะเบาะแว้ง
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างเลยเถิด ข้าราชการจึงต้องเป็นแบบอย่าง มีความอดทนอดกลั้นและอดออมให้มาก
ดั่งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงพระกรุณาพระราชทานสอนไว้ว่า
ปัญญานำหน้าชีวิตสู่ความสำเร็จอันดีงาม การเรียนรู้ตลอดชีวิต หลักคุณธรรมจริยธรรม
เพราะการเรียนไม่มีวันจบสิ้นตราบบุคคลมีลมหายใจ" ม.ล.ปนัดดา กล่าว
#ขอบพระคุณสำนักข่าวเห็ดลม#
#ข่าวสารกระทรวงยุติธรรม#
#กรมบังคับคดี#
#กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน#
#พิพิธภัณฑ์วังวรดิศและหอสมุดสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ#
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น