สถานการณ์การโจมตีตำรวจที่
สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อปลายเดือน มี.ค.ของโจรใต้ ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต
1 ศพ และบาดเจ็บอีก 4 ราย และตามติดมาด้วยการโจมตีจุดตรวจหน้าตลาดกรงปีนัง
อ.กรงปีนัง จ.ยะลา อันเป็นการโจมตีเพื่อสร้างความสูญเสียให้แก่ “หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นด้านหลัก

ทั้งนี้ โจรใต้ได้เลือกเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตี
เพราะที่ตั้งของโรงพัก และที่ตั้งของจุดตรวจทั้ง 2 แห่งดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เป็น
“จุดอับ” เนื่องจากอยู่ติดกับบ้านเรือนของประชาชน
จึงทำให้โจรใต้ได้เปรียบในการทำสงครามแบบ “อสมมาตร” ใช้กำลังน้อยเข้าโจมตี
และล่าถอยอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกว่าการรบแบบ “กองโจร” เมื่อสร้างความสูญเสียให้แก่ฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ล่าถอยในทันที
สำหรับการโจมตีจุดตรวจที่ตลาดกรงปีนัง
ยังถือเป็นโชคดีที่นายตำรวจระดับ “สารวัตร” สภ.กรงปีนัง ที่นำลูกน้อง 4
คน ขับรถหุ้มเกราะบุกตะลุยเข้าช่วยเหลือกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่ได้อย่างทันท่วงที
ก่อนที่จุดตรวจ หรือฐานปฏิบัติการจะถูกโจรใต้ “ละลาย” และเก็บอาวุธไปได้
การโจมตีเป้าหมายจุดตรวจ
หรือฐานปฏิบัติการ และที่ทำการของราชการที่ผ่านมา แม้จะสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นก็จริง
แต่เป็นการสูญเสียที่เป็น “ปัจเจก” กล่าวคือ ตำรวจตายก็เป็นความสูญเสียของตำรวจ
ทหารตายก็เป็นความสูญเสียของทหาร ผลการโจมตีจึงไม่ได้กระทบเป็นวงกว้าง
ไม่เหมือนการโจมตีสิ่งสาธารณูปโภค
และสาธารณูปการ เช่น การระเบิดเส้นทางรถไฟ ที่ทำให้การคมนาคมหยุดชะงัก ประชาชนผู้อาศัยการเดินทางด้วยรถไฟได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง
แต่ก็ยังมีทางเลือกที่จะใช้รถประจำทางในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะลำบากขึ้น แต่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้
แต่การก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของคืนวันที่
6 เม.ย.ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา นั่นเป็นการก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น
ผลกระทบจะเกิดเป็น “วงกว้าง” โดยเดือดร้อนทั้งแต่คนระดับ
“รากหญ้า” ไปจนถึงพวกที่อยู่บน “หอคอยงาช้าง” เพราะ “ระบบไฟฟ้า” คือสิ่งสำคัญทั้งต่อการดำรงชีวิตของผู้คน และวงการอุตสาหกรรม
“ไฟฟ้าดับทั้งเมือง” จึงเป็นเรื่องที่ต้องตื่นตกใจ
และสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน นอกจากนั้น ในการป้องกันหรือการแก้ไขสถานการณ์
รวมถึงการเคลื่อนกำลังเข้าต่อสู้ และช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐก็ยากลำบากมากขึ้นด้วย
อย่าแค่ไฟฟ้าดับจนกลายเป็นคืน
“กาฬปักษ์” เลย แม้แต่คืนที่ระบบไฟฟ้าไม่ได้ถูกก่อวินาศกรรม
แต่มีเหตุโจมตีหน่วยงานต่างๆ เกิดขึ้น กำลังชุดต่างๆ
ที่จะเข้าไปให้การสนับสนุน หรือช่วยเหลือก็ยังไม่กล้าที่จะเคลื่อนพลจากที่ตั้ง
เพราะกุมสภาพของพื้นที่ไม่ได้ว่า โจรใต้จะมีการซุ่มโจมตี
หรือวางระเบิดแสวงเครื่อง และโปรยตะปูเรือใบไว้ที่ไหนบ้าง
การออกมาช่วยเหลือ หรือสนับสนุนฐานปฏิบัติการที่ถูกโจมตี
ถ้าทำแบบ “สุ่มสี่สุ่มห้า” เมื่อไหร่
นั่นหมายถึงความสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียแบบ “ยกกำลัง 2” เพราะฉะนั้นในหลายครั้งจะเห็นว่าหน่วยงานความมั่นคงยอมที่จะถูก
“ละลายฐาน” ที่ถูกโจมตี ดีกว่าการส่งกำลังออกไปสนับสนุนแล้วสูญเสียซ้ำสอง
การโจมตีสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ คือ
การก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ครั้งนี้ของโจรใต้ จึงเป็นการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบของ
“สงครามประชาชน” ที่หมายมุ่งในการสร้างความสูญเสียให้แก่ธุรกิจการค้า
การท่องเที่ยว การลงทุน และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหย่อมย่าน
ที่ต้องผจญต่อการเกิดไฟฟ้าดับ
แม้ว่าการโจมตีในครั้งนี้จะไม่มีการสูญเสียชีวิต
และทรัพย์สินของประชาชน แต่มีแต่ความสูญเสียของรัฐคือ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ” ที่จะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ากลับคืนมาได้
ดังนั้น เมื่อโจรใต้มีเป้าหมายในการก่อวินาศกรรมระบบไฟฟ้าแรงสูงได้ ในอนาคตโจรใต้ก็อาจจะก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการอื่นๆ
ได้เช่นกัน เพื่อที่จะได้สร้างความเดือดร้อนให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่
และแสดงถึง “ศักยภาพ” ของการทำ “สงครามกองโจร” เพื่อทำลายความเชื่อมั่นของผู้คนในพื้นที่
ต่อ “อำนาจรัฐ” และเป็นการข่มขวัญ “มวลชน” ที่ไม่ใช่แนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
หลังการก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
ในครั้งนี้ แม้ทางหนึ่งประชาชนจะ “ก่นด่า” และอาจจะ “สาปแช่ง(ในใจ )” ต่อโจรใต้ที่สร้างความเสียหาย
และความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นก็จริงอยู่ แต่เสียงเหล่านั้นบางส่วนก็ทำให้ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ต้องรับฟังไว้ให้ดี
และฟังแล้วก็ต้อง “สำเหนียก” ด้วย
อย่างไรก็ตาม
มีเสียงก่นด่า “หน่วยงานความมั่นคง” ที่ไม่สามารถป้องกันเหตุมิให้เกิดขึ้น
แถมหลังเกิดเหตุก็ไม่สามารถที่จะตอบโต้เพื่อสร้างความสูญเสียให้แก่โจรใต้ได้ด้วย
โดยเชื่อว่ากำลังของโจรใต้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ต้องมีกว่า 100 คน
ซึ่งการเคลื่อนไหวของคนจำนวนนี้ในกว่า 20 อำเภอ ของพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา
และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ เทพา นาทวี
สะบ้าย้อย และจะนะ นั้น ต้องถามว่า “งานการข่าว” ในพื้นที่ไม่มีที่จะรู้เรื่องแม้แต่ “สักแอะเดียว” เลยละหรือ
และมีคำถามที่ติดตามมาว่า ที่ว่าสถานการณ์พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่
“ดีขึ้น” โดยฝ่ายการข่าวได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่มากขึ้นนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?!
รวมทั้งที่บรรดา “นายพล” บางคนเคยให้สัมภาษณ์ว่า
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอ่อนแอลง ทั้งในเรื่องอุดมการณ์
และกองกำลัง เรื่องราวเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่?!
เนื่องเพราะเท่าที่รู้ๆ
กันนั้น เรารู้แต่เพียงว่าในขณะที่โครงการ “พาคนกลับบ้าน” ได้ผลในระดับที่ “ผู้ใหญ่ในกองทัพพอใจ” ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ
แต่สิ่งที่ “ล้มเหลว” คือ การที่หน่วยงานความมั่นคงยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้คนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นโจรใต้ได้
นั่นจึงยังไม่ใช้คำตอบที่ถูกต้องว่า เมื่อมีการ “พาโจรกลับบ้าน” ได้แล้ว
เหตุการณ์จะ “ลดน้อย” เพราะจำนวนผู้ที่ถูกนำเข้าสู่ขบวนการเพื่อเป็น
“โจรใต้” อาจจะมากกว่า “โจรที่ถูกพากลับบ้าน”
สังเกตได้จากการสอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์การเผายางรถยนต์
การวางเพลิง การวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งได้บอกรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายว่าเป็น “คนอายุประมาณ 20-30 ปี” แต่งกายด้วยชุดดำทั้งชุด นั่นคือลักษณะของ
“นักรบ” ที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อให้เป็นโจรโดยเฉพาะ
และที่สำคัญคือ เป็นโจรที่ไม่กลัวตาย
ไม่กลัวความสูญเสีย ไม่กลัวการถูกวิสามัญ และพร้อมที่จะเดินเข้าคุกเมื่อถูกจับกุม
แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่กล้าบอกว่า
สาเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ใน 4 จังหวัดมาจากสาเหตุอะไร!!
เป็นสาเหตุมาจากเรื่อง
“วิสามัญโจรใต้ 2 ศพ” ที่บ้านโคกสะตอ
อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส หรือเป็นการแสดงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ให้ “อาคันตุกะ” ที่เป็นมุสลิมจากประเทศอียิปต์ที่เดินทางมาเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ในเดือนที่มี “วันสัญลักษณ์” ของรัฐไทย หรือเป็นการแสดง “อารมณ์ร่วม” ในเรื่อง ม.44 ที่สั่งห้ามนั่งในแค็บรถยนต์กระบะ และนั่งท้ายกระบะ
หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะ
“คำตอบ” ของ “โจทย์” นี้อาจจะ “ถูกทุกข้อ” ก็ได้ และอาจจะ “ผิดทุกข้อ” ก็ได้ เนื่องจากสาเหตุการก่อการร้ายของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่อง
“กำปั้นทุบดิน” ที่จะเอากำปั้นไปทุบลงตรงไหนก็เจอคำตอบตรงนั้น
แต่สิ่งที่อยากบอกคือ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะ “เล็ก” หรือ “ใหญ่” อย่าวัดกันที่ “ไม่มีคนตาย” และถือว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆ
แต่ต้องดูที่วิธีการของโจรใต้ ต้องดูที่ความเสียหายที่ได้รับ
อย่างการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่มีคนตาย ทั้งเจ้าหน้าที่ และประชาชน
และสรุปว่าโจรไต้แค่ต้องการเพียง “ก่อกวน” หรือสร้างสถานการณ์เพื่อแสดง
“ตัวตน” เท่านั้น
เพราะโดยข้อเท็จจริง
13 ปีที่ผ่านมา โจรใต้ไม่เคยแสดงตัวตนมาก่อนว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนไหนระหว่าง
“พูโล” หรือ “บีอาร์เอ็น” หรือ “บีไอพีพี” ฯลฯ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะสร้างความมั่นใจให้คนในพื้นที่ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
ทั้งในส่วนของการก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้า” และ “สิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ” อื่นๆ
วันนี้คนในพื้นที่ไม่ได้ต้องการขออะไรมากไปกว่า “ขอความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน”!!!!
ส่วนโครงการอื่นๆ เช่น “โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง
มั่งคั่ง” หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้ได้ก็ดี
ไม่ได้ก็ดี เพราะถ้าชีวิตยังเอาตัวไม่รอด ประชาชนก็มองไม่เห็นว่าจะ
“มั่นคง มั่งคั่ง” ได้อย่างไร?!?!
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น