จำนวนผู้เข้าชม

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568

“สานเจรจา”ประชาธิปัตย์ถึงจะจบแบบไม่แตกแยก หลังพบสองฝ่ายยืนกระต่ายสามขา

 “สานเจรจา”ประชาธิปัตย์ถึงจะจบแบบไม่แตกแยก หลังพบสองฝ่ายยืนกระต่ายสามขา

…….


สงครามที่ยืดเยื้อสุดท้ายต้องจบลงด้วยโต๊ะเจรจา ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้เปรียบแค่ไหนก็ตาม บนโต๊ะเจรจาบางคนต้องเสียสละเช่น สงครามเวียดนาม จบด้วยการเจรจาที่ปารีส ค.ศ. 1973 แม้สหรัฐฯ จะมีแสนยานุภาพเหนือกว่า แต่สุดท้ายก็ต้องถอนทัพ


สงครามเกาหลี ปี 1950–1953 จบลงด้วยการเจรจาสงบศึกที่พานมุนจอม ถึงวันนี้ก็ยังไม่มี “สัญญาสันติภาพ” จริง ๆ


สงครามอัฟกานิสถาน ล่าสุด สหรัฐฯ ก็ต้องเจรจากับตาลีบันเพื่อตั้งเงื่อนไขการถอนกำลัง


พอมาโยงกับ การเมืองในพรรคประชาธิปัตย์

ถ้าปล่อยให้ “สงครามชิงหัวหน้า” สู้กันดุเดือดโดยไม่หันมาคุยตกลงกันก่อน ผลคือพรรคอาจ บอบช้ำ แตกเป็นกลุ่มย่อย หรือพังไป ในพรรคการเมืองที่อ่อนแรงอยู่แล้ว การแตกแยกเพิ่มยิ่งทำให้ ฐานเสียงและศรัทธาประชาชนหายไป

ถ้ามี “โต๊ะเจรจา” ในพรรค ไม่ว่าจะเป็นเวทีผู้อาวุโส หรือวงคุยภายใน ก็จะช่วย หาทางออกแบบประนีประนอม ได้ เช่น การตกลงแบ่งบทบาท ระหว่างคนรุ่นใหม่กับผู้อาวุโส ทุกคนต้องมีที่ยืนที่เหมาะสม

อยากจำลองฉากการ “สานเจรจา”ในพรรคประชาธิปัตย์ (เช่น ถ้าอภิสิทธิ์, นิพนธ์, เดชอิศม์ สาธิตย์ ชัยชนะ กรณ์ นั่งโต๊ะเดียวกัน) ว่าใครจะยอมใคร และดีลแบบไหนถึงจะเกิดขึ้นได้ เสมือนการส่งทหารราบเปิดฉากเจรจาหน้างานที่กำลังสู้รบกันอยู่ เป็นการกรุยทางก่อน

เมื่อทหารราบเจรจากรุยทางกันได้ในหลักการ ก็เปิดโต๊ะเจรจา แต่ใครจะนั่งหัวโต๊ะเจรจานั้นคือประเด็นใหญ่

 1.มีบารมีมากพอในพรรค ทุกกลุ่มยอมรับว่าพูดแล้วมีน้ำหนัก

 2.ไม่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตรง ของผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้า

 3.มีเครดิตทางการเมือง ว่าเป็นนักประนีประนอม ไม่ใช่ตัวจุดไฟ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่น่าจะอยู่ในตัวละครนั่งหัวโต๊ะ เพราะเขาน่าจะมีส่วนได้เสีย ทำให้ขาดการยอมรับ เว้นเสียแต่ว่าอภิสิทธิ์ประกาศไม่ลงชิงหัวหน้าพรรค

กล่าวถึงกลุ่มผู้อาวุโส อดีตหัวหน้าพรรคชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน จุรินทร์ ลักษณะวิศิฏฐ์ แม้จะเป็นบุคคลที่ทุกคนเคารพ แต่มีภาพ “โน้มเอียงหนุนอภิสิทธิ์” เลยทำให้ความเป็นกลางถูกตั้งคำถามได้

ถาวร เสนเนียม นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ล้วนแล้วแต่แสดงตนสนับสนุนอภิสิทธิ์หมดแล้ว หมดจากความเป็นกลาง

ดังนั้น “ตัวกลาง” ที่น่าเชื่อถือจริง ๆ ควรเป็นคนที่ื ไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงกับเก้าอี้หัวหน้า

ไม่ถูกมองว่าเลือกข้าง

และยังมีน้ำหนักพอจะเรียกทุกฝ่ายมานั่งโต๊ะ มองหาไม่เจอ

เสียดายตัวเลือก “พิชัย รัตตกุล”ผู้อาวุโสที่เพิ่งจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีภาพลักษณ์คือ “อาวุโสสายกลาง”ไม่ได้หนุนใครแบบชัด ๆ

หมดจากพิชัย หลับตาเห็น “วีระกานต์ มุสิกะพงศ์”อดีตเลขาธิการพรรคสมัยรุ่งเรือง ตอนนี้อายุ 84 ปี แต่วีระกานต์ ก็ห่างจากประชาธิปัตย์ไปนาน ไม่น่าจะเข้ามายุ่ง ให้ในพรรคเขาจัดการกันเองน่าจะดีกว่า

“พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิต เพื่อรักษาพรรค”

 #นายหัวไทร

 #ศึกชิงหัวหน้าประชาธิปัตย์

 #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โฆษณา


วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้