“ปรากฏการณ์ตูน บอดี้แสลม” คือ “ของแสลง” BRN ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเรียนรู้
ไชยยงค์ มณีพิลึก
การวิ่งจากใต้สุดจรดเหนือสุดในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของนักร้องชื่อดัง
“ตูน
บอดี้แสลม” หรือ
นายอาทิวราห์ คงมาลัย ที่เริ่มจาก อ.เบตง จ.ยะลา เพื่อจะไปสิ้นสุดที่ อ.แม่สาย
จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร
เพื่อที่จะหาเงินบริจาคจากประชาชนในการสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับ 11
โรงพยาบาลทั่วประเทศ
ซึ่งได้รับการตอบรับจากคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง
“ล้นหลาม”
โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดคือ จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ
จ.นราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย
ซึ่งถือเป็นพื้นที่ “สีแดง” เป็นพื้นที่ของ
“ความขัดแย้ง” ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งตลอดระยะเวลา 13 ปีของการเกิดความรุนแรงระลอกใหม่มีคนตายจากความขัดแย้งแล้วกว่า
6,000 คน บาดเจ็บและพิการอีกหลายหมื่นคน
จนทำให้แผ่นดินปลายด้ามขวานเป็นพื้นที่ที่ “คนภายนอก” เข้าใจว่า
เป็น “เขตอันตราย” ที่หากหลีกเลี่ยงได้
พวกเขาก็จะไม่ “เหยียบย่าง’” เข้ามาอย่างเด็ดขาด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการวิ่งก้าวคนละก้าวของตูน
บอดี้แสลม ในครั้งนี้ได้เกิด “ปรากฏการณ์ใหม่” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดกระแส “ตูนฟีเวอร์” เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ที่ตูนไว้วิ่งผ่าน
โดยมีคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากได้ออกมาร่วมวิ่ง ออกมาร่วมบริจาคเงิน
และออกมาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น มีการถ่ายภาพ “เซลฟี่” กันอย่างมีความสุข
ซึ่ง “ความสุข” ในลักษณะแบบนี้ได้ห่างหายจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคได้มานานถึง
13 ปีเต็ม ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นทั้งจากภาครัฐและจากภาคเอกชน
แทบไม่เคยที่จะได้รับการตอบรับแบบเป็น “ธรรมชาติ” อย่างที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ตูนวิ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
อาจะเป็นการเกินเลยไปหน่อยกับการเปรียบเทียมของใครหลายคนที่เห็นว่า
กิจกรรมของตูนในครั้งนี้ได้ทำให้ “ไฟใต้” ดับลงแล้ว
หรือ “ความสันติสุข” มาเยือนประชาชนในพื้นที่
3 จังหวัดกับ 4 อำเภอของ จ.สงขลาแล้ว
แต่มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วจากการวิ่งของตูนในโครงการก้าวคนละก้าวคือ
ตูนได้นำ “เมล็ดพันธุ์อันดีงาม” เข้ามาบ่มเพาะในหัวใจของคนส่วนหนึ่งในพื้นที่แห่งความขัดแย้งแล้ว
และก็กำลังงอกงามในหัวใจของคนจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะสร้าง “สันติสุข” และ
“ลดความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นในอนาคต
เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่ตูนนำมาเพาะปลูกในหัวใจของคนปลายด้ามขวาน
ที่เวลานี้กำลังงอกงามเติบโตเป็น “ต้นกล้าพันธ์ที่ดี” แล้วนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับว่าในอนาคตคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะให้การการดูแลและรดน้ำพรวดดินอย่างไร
ดังนั้นจึงควรที่จะต้องมีการ “ต่อยอด” ให้ต้นกล้าพันธุ์ดีนี้มีการเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ได้อย่างเป็นระบบ
อย่าให้เป็นเพียง “กระแสวูบไหว” ที่พอคล้อยหลังการวิ่งผ่านของตูนไปเพียงไม่กี่วัน
ทุกอย่างก็ค่อยๆ จางหายไปกับกาลเวลาที่ผันผ่าน
กระแสฟีเวอร์จากปรากฏการณ์ตูน บอดี้แสลม
นอกจากจะทำให้เยาวชนมุสลิมทั้งชาย-หญิงที่ได้เคยห่างหายจากการร่วมกิจกรรมในลักษณะของ
“พหุวัฒนธรรม” ไปนานมากแล้ว
เวลานี้พวกเขาได้เดินกลับมาเข้าร่วมกิจกรรมกับตูนด้วยความเต็มออกเต็มใจกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคมพหุวัฒนธรรมครั้งนี้แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังได้เห็นปรากฏการณ์ของ “กลุ่มสุดโต่ง” ที่ยังคงพยายามสร้าง
“วัฒนธรรมเชิงเดี่ยว” อย่างเข้มข้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียโจมตีและประณามผู้ที่เป็นมุสลิม
โดยเฉพาะเยาวชนทั้งชายและหญิงที่เข้าร่วมกิจกรรมกับตูนในครั้งนี้ว่า เป็นการกระทำ “ผิดหลักการศาสนา” ทั้งในเรื่องการ
“บริจาค” และเรื่องการ
“เซลฟี่” ถ่ายรูปกับตูนอย่างถึงพริกถึงขิง
นั่นแสดงให้เห็นว่า “บีอาร์เอ็นฯ” และกลุ่มสุดโต่งต่างๆ
ยังพยายามที่จะใช้เรื่องศาสนา
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของคนมุสลิมมาเป็นเครื่องมือข่มขู่ผู้ที่หวาดกลัว
ผู้ที่เข้าใจในเรื่องศาสนาแบบไม่ถึงแก่นแท้
เพื่อไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบพหุวัฒนธรรม
อันเป็นการอยู่ร่วมของคนทุกศาสนาในพื้นที่เดียวกัน
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงยังสามารถชี้ชัดให้เห็นว่า บีอาร์เอ็นฯ และบรรดากลุ่มสุดโต่งต่างๆ
ยังคงใช้เรื่องของ “ศาสนา” เป็น
“เครื่องมือ” เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับขบวนการ
การที่มีคนออกมากล่าวอ้างว่า
การที่ทำให้คนมุสลิมหนุ่ม-สาวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมาร่วมกิจกรรมก้าวคนละก้าวกับตูน
บอดี้แสลม ได้จำนวนมากในครั้งนี้
ถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งในงานด้านมวลชนของขบวนการ
เรื่องนี้ถือเป็นการบิดเบือนแน่นอน
เพราะเยาวชนคนมุสลิมหนุ่ม-สาวที่ออกมาร่วมกิจกรรมกับก้าวคนละก้าวกับตูน
คือกลุ่มมวลชนคนละกลุ่ม กับที่เป็น “มวลชนจัดตั้ง” ของบีอาร์เอ็นฯ
เพียงแต่ที่บีอาร์เอ็นฯ ออกมาทำการข่มขู่และโจมตีกลุ่มเยาวชนหนุ่ม-สาวมุสลิมที่ออกมากิจกรรมกับตูน
เหตุผลสำคัญเพราะบีอาร์เอ็นฯ หวาดวิตกและหวั่นไหวว่า
หากให้กิจกรรมที่ได้รับการตอบรับจากมุสลิมหนุ่ม-สาวเกิดขึ้นบ่อยครั้งและต่อเนื่อง
อาจจะทำให้บีอาร์เอ็นฯ สูญเสียมวลชนได้ แถมการสร้างมวลชนรุ่นใหม่เข้าสู่ขบวนการทำได้ยากขึ้น
ดังนั้นถ้าจะเขียนให้ตรงประเด็นต้องเป็นดังนี้คือ
กิจกรรมก้าวคนละก้าวที่ทำโดยตูน บอดี้แสลม ถือเป็น “ของแสลง” ที่บีอาร์เอ็นฯ
และกลุ่มสุดโต่งในพื้นที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
เพราะเป็นการขัดขวางนโยบายสังคมเชิงเดี่ยว
โดยเฉพาะกับ “นโยบาย
5 ไม่” ที่บีอาร์เอ็นฯ
ใช้ในการปลูกระดมคนมุสลิมในพื้นที่ไม่ให้ร่วมสังฆกรรมกับคนต่างศาสนา
ซึ่งหาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
นำเอาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมก้าวคนละก้าวของ ตูน บอดี้แสลม
มาใช้ให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีหลายต่อหลายกิจกรรมที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหลายปีมานี้
อย่างในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ที่เราจะได้เห็นเยาวชนมุสลิมที่เป็น “สตรี” กว่า 80%
ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา
และพยายามขวนขวายในการเล่าเรียนอย่างลำบากอยากเย็นเพื่ออนาคตนั้น
ปรากฏการณ์เหล่านี้บอกเรื่องราวอะไรมากมายอันเป็นแนวทางของการ “ดับไฟใต้”
หรืออย่างการที่เยาวชนมุสลิมชายในพื้นที่ไม่เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา
หรือมหาวิทยาลัย นั่นเป็นเพราะเหตุใด และคนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร
ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็เป็นผลต่อการดับไฟใต้ที่ควรต้องหาคำตอบที่ชัดเจนให้ได้
หลายปีที่ผ่านมายังมีอีกหลายต่อหลายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
อันก่อทั้งคุณประโยชน์และเป็นโทษต่อการดับไฟใต้ เช่น
เกิดอะไรขึ้นที่ในวันนี้กลับมีการสื่อสารกันด้วยภาษาไทยมากขึ้น
แม้แต่ชื่อของห้างร้านหรือกิจการการค้าต่างๆ ในเมืองใหญ่ๆ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงนิยมที่จะเขียนภาษาไทยตัวโตๆ และภาษายาวีตัวเล็กๆ
ทั้งที่คนส่วนใหญ่ 90% ที่เป็นลูกค้าคือมุสลิม
จึงอยากให้ปรากฏการณ์ก้าวคนละก้าวของผู้ชายที่ชื่อ
อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้แสลม ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ จงอย่าได้สูญเปล่า
หรือกลายเป็นกระแสที่ผ่านแล้วผ่านไปเหมือกับสายน้ำไหล
แต่อยากจะให้มีการรักษา “เมล็ดพันธุ์ความดี” ที่หว่านเพาะโดย
ตูน บอดี้แสลม ได้เติบโตเป็น “ต้นกล้าความดี” ต้นแรก
เพื่อที่จะแพร่ขยายไปสู่หัวใจของคนทุกคน
โดยเฉพาะกับหน่วยงานที่ชูเรื่อง “พหุวัฒนธรรม” เพื่อใช้ต่อสู้กับนโยบายสังคมเชิงเดี่ยวของบีอาร์เอ็นฯ
ต้องนำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปสังเคราะห์ต่อยอดเป็น “บทเรียน” เพื่อที่จะให้ได้เข้าใจว่า
“พหุวัฒนธรรม” ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยมือหน่วยงานรัฐเท่านั้น
เป็นเรื่องที่พันผูกอยู่ในวิถีชีวิตผู้คน อันเกิดขึ้นจากความรัก
ความศรัทธาและความจริงใจนั่นเองการณ์ตูน บอดี้แสลม” คือ
“ของแสลง” BRN ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเรียนรู้
/
ขอบคุณ ไชยยงค์ มณีพิลึก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น