“ลุงตู่” ต้องไม่ยก
ครม.มาสัญจรใต้เพียงแค่จะฟังเสียงโอ้โลมปฏิโลมให้เปลื้องงบแผ่นดิน / ไชยยงค์
มณีพิลึก
คอลัมน์
: จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์
มณีพิลึก
หลังจากที่ใช้เวลาในการหาเสียงอย่างจริงจังมาร่วม
2-3 เดือน วันที่ 27 พ.ย.2560 นี้ก็จะเป็นวันหย่อนบัตรเพื่อเลือกตั้ง “คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด”
ทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนกว่า 30 จังหวัด
แต่สำหรับไฮไลท์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกโพกัสอยู่ที่
“แผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างเป็นด้านหลัก
เนื่องจากชายแดนภาคใต้ตรงนี้เป็นแผ่นดินที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล
กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเครื่องมือที่ฝ่ายขบวนการหรือ “กลุ่มผู้เห็นต่าง”
ใช้ในการปลุกระดมและสร้างสถานการณ์
เพื่อหามวลชนสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนคือ เงือนไขความเป็น “มาลายู”
ความเป็น “อิสลาม” และความเป็น
“ปัตตานี”
1 ใน 3
เงือนไขที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาใช้อย่างได้ผลคือ “อิสลาม”
หรือ “ศาสนา” ด้วยการนำคำสอนของศาสดา ที่เป็นเสมือน “คัมภีร์ชีวิต”
ของมุสลิมไป “บิดเบือน” ให้หลงเชื่อ
โดยเชื่อว่าสิ่งที่ขบวนการนำมา “บ่มเพาะ” คือความประสงค์ของศาสนาที่ทุกคนต้องทำตาม
ดังนั้น “การเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด”
ในพื้นที่ “3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” จึงมีความสำคัญยิ่งกับ
“ยุทธศาสตร์” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
เพราะหากสามารถทำให้มี “เสียงข้ามมาก”
ในคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้ การดำเนินงานทาง “การเมือง”
ด้วยการใช้ “ศาสนา” มาทำการ
“บ่มเพาะ” เพื่อสร้างมวลชน
สร้างนักรบ สร้างนักปฏิวัติ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือ “เอกราช”
ที่บีอาร์เอ็นฯ นำมาใช้เพื่อ “หลอกลวง”
มวลชนให้เป็นเครื่องมือก็จะทำให้สำเร็จผลได้ง่าย
2
เดือนที่ผ่านมาที่สถานการณ์ความรุนแรงบนแผ่นดินไฟใต้ “ซบเซา”
เพราะบีอาร์เอ็นฯ เน้นหนักในการ “ส่งคนลงพื้นที่”
เพื่อร่วมมือกับ “คนการเมือง” ในพื้นที่ในการหาเสียงจากกลุ่มคนผู้มีสิทธิลงคะแนน
เพื่อหนุนส่งให้คนของบีอาร์เอ็นฯ ได้เข้าสู่เส้นชัย
เสียงปืน เสียงระเบิดที่ซบเซาเป็นเพราะบีอาร์เอ็นฯ
ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่
เนื่องจากจะไปขัดขวางการปฏิบัติการ “ด้านมวลชน” ของ
“ฝ่ายการเมือง” และ
“ฝ่ายศาสนา” ในการใช้กลยุทธ์เพื่อให้กลุ่มคนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกคนของตนเอง
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามที่ผ่านๆ
มามี “นักการเมือง” อยู่เบื้องหลัง
และต้องการใช้คณะกรรมการอิสลามเป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งของฝ่ายการเมือง
ในขณะที่บีอาร์เอ็นฯ
ก็ต้องการใช้คณะกรรมการอิสลามเป็นฐานในการปฏิบัติการด้านมวลชนเช่นกัน
การเลือกตั้งครั้งนี้ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ
จ.นราธิวาส ซึ่งมีการเลือกตั้งทั้ง “ประธาน” และ
“คณะกรรมการ” มีการต่อสู้กันอย่างถึงลูกถึงคน
เพราะมีการแข่งขันกัน 2-3 ทีม การสนับสนุนจึงเพียบพร้อมไปด้วย “การเงิน”
และ “การเมือง” ของกลุ่มก่อการร้าย
มีการจัดสัมมนานอกสถานที่ในหลายจังหวัด
ที่คึกคักที่สุดคือการใช้พื้นที่ จ.สตูล เป็นที่สัมมนา
และที่สำคัญบางทีมใช้ชื่อของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพื่อโน้มน้าวให้ผู้นำศาสนาลงคะแนนให้ทีมของตนเอง
ช่างเป็นเรื่องสอดคล้องกันยิ่ง ซึ่งวันที่ 27
พ.ย.2560 อันเป็นวันหย่อนบัตรเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด นั่นก็เป็นวันเดียวกันกับที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะ ครม.ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี
เพื่อประชุมและติดตามโครงการพัฒนาตาม “นโยบายสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง
มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยเฉพาะกับ “โครงการเมืองต้นแบบ”
ที่ อ.หนองจิก ก่อนทีในวันที่ 28 พ.ย.ถัดไปคณะของนายกรัฐมนตรีจะมีการประชุม
ครม.สัญจรที่ จ.สงขลา
ดังนั้นการเดินทางมาประชุมมา
ครม.สัญจรคาบนี้ของคณะนายกรัฐมนตรีจึงน่าจะ “ครึกครื้น”
กว่าการประชุม ครม.สัญจร ที่ภาคอื่นๆ เพราะนอกจากจะต้อง “คลาคล่ำ”
ด้วย “กองกำลังของเจ้าหน้าที่” เพื่อรักษาความสงบในการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามจากการก่อเหตุร้ายปั่นป่วนแล้ว
ยังต้องมีการจัดกำลังคุ้มกันเข้มคณะของนายกรัฐมนตรีที่กระจายตัวไปในหลายพื้นที่อย่างเต็มพิกัดอีกด้วย
ในส่วนของ “กลุ่มพลังมวลชน”
ที่สุดท้ายแล้วไม่ว่า “กอ.รมน.” จะสั่งการให้แต่ละจังหวัดในภาคใต้ป้องกันมิให้กลุ่มคนที่มีปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ
เดินทางไปแสดงตัวในบริเวณที่ประชุม ครม.สัญจรภาคใต้ เพื่อขอพบนายกฯ
หรือยื่นหนังสือกับนายกฯ อย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม แต่เชื่อคงจะ “สกัด”
หรือ “กั้น” ได้แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
แต่ที่น่าจะสกัดกั้นไม่ได้คือ “กลุ่มคนเห็นต่าง”
ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา
ที่มีการรวมตัวกันทำกิจกรรมเดินเท้า 4 วันเพื่อไปขอพบนายกรัฐมนตรี
เพื่อสอบถามความชัดเจนในเรื่องการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งนี้
โดย “เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน”
ได้เดินเท้าออกจากจุดสตาร์ทบริเวณหาดบางหลิง อ.เทพา
ไปตั้งแต่เช้าของวันที่ 24 พ.ย.2560 ซึ่งจะมีการแวะจัดทำกิจกรรมกับมวลชนไปเรื่อยๆ
ตลอดเส้นทางเดิน จุดหมายคือไปรอพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุม
ครม.สัญจรใต้วันที่ 28 พ.ย.นี้
เช่นเดียวกับองค์กรต่างๆ อาทิ “กลุ่มผู้นำชาวสวนยาง
16 จังหวัดภาคใต้” ที่จะขอเวลาจากเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา
ให้ได้อย่างน้อย 5 นาที
เพื่อยื่นหนังสือและพูดคุยถึงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาย่างพาราที่ตกต่ำ
ส่วน “กลุ่มประมงพื้นบ้าน” ที่เดือดร้อนจากการออกกฎหมายของรัฐบาล
และได้มีการชุมนุมแสดงพลังกันไปแล้วเมื่อหลายวันก่อนที่ จ.ปัตตานี
กลุ่มนี้คงจะไม่กล้า “รบกวนหัวใจ” ของนายกรัฐมนตรี
เพราะมีความพยายามจากผู้หลักผู้ใหญ่ในพื้นที่ขอร้องแกมบังคับเอาไว้
ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความขุ่นเคืองขึ้นในใจของ “ท่านผู้นำ”
เช่นเดียวกับเรื่องของ “การแบ่งกลุ่มจังหวัด”
ที่ “สภาพัฒน์ฯ” ได้ทำตามดำริของนายกรัฐมนตรี
ด้วยการจัดกลุ่มพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ใหม่แบบไม่เหลือรอย
และเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการไปไม่นานนี้เอง
โดยการจัดแบ่งครั้งล่าสุดแบ่งเป็น 3 กลุ่มหรือ
3 โซนคือ 1.“กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย” ให้รวมเอา
จ.สงขลา ไปขึ้นอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยและให้ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นประธานกลุ่ม 2.“กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน”
ให้รวมเอา จ.สตูล ให้ไปขึ้นด้วยและให้ จ.ภูเก็ต เป็นประธานกลุ่ม และ
3.“กลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งแต่ก่อนเคยมีทั้ง
จ.สงขลา และ จ.สตูล รวมอยู่ในกลุ่มนี้ แต่เวลานี้ถูกตัดออกให้เหลือเพียง จ.ยะลา
จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส เท่านั้น
เรื่องการแบ่งกลุ่มจังหวัดภาคใต้ใหม่ล่าสุดนี้
ปรากฏมีการไม่เห็นด้วยอย่างมาก ในเบื้องแรกเริ่มจาก จ.สงขลา และ จ.สตูล
ส่งเสียงดังออกมาก่อน แต่หลังจากที่ผ่านไประยะหนึ่งเสียงคัดค้านของ จ.สงขลา ก็เริ่มอ่อนระโหยโรยแรงลง
เพราะถูก “ล็อบบี้” จากหน่วยงานรัฐ
จากหน่วยงานความมั่นคง
ซึ่งก็เป็นไปตาม “จริต”
ของ “องค์กรภาคเอกชน” ใน
จ.สงขลา ที่จะเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ในขณะที่ จ.สตูล
ถึงเวลานี้มีความชัดเจนด้วยเหตุผลที่ “ฟังได้” ในการที่ไม่ต้องการออกจากกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งตรงนี้ขอ “ชื่นชม” ผู้นำองค์กรเอกชนของ
จ.สตูล ที่ไม่ “คิดมาก” เหมือนกับ
จ.สงขลา ที่กลัวว่าการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีอาการ “ไม่พอใจ” และส่วนราชการใน
จ.สงขลา จะถูก “เลขท้าย” จากการขับเคลื่อนเรื่องการไม่เห็นด้วยดังกล่าว
โดยข้อเท็จจริง “การแก้ปัญหาบ้านเมือง”
ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง
ผู้นำประเทศจะต้องเปิดโอกาสให้กับผู้ที่เห็นต่างได้พบ เพื่อจะได้นำปัญหาไป “แจกแจง”
ให้ฟัง เพราะไม่มีใครที่จะรู้เรื่องได้ดีกว่าคนในพื้นที่
การที่นายกรัฐมนตรีได้ฟัง ได้พบคนในพื้นที่
ซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละองค์กรนำมาปัญหาไปขอให้ช่วยแก้ ย่อมดีกว่าไปนั่งฟัง “คำเยินยอ”
จาก “มวลชนจัดตั้ง” และ
“ข้าราชการ” เป็นยิ่งนัก
ถามว่าถ้าผู้นำองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ต่าง “กลัวลุงตู่”
จะออกอาการ “เฮ้ยๆ” กับความจริงของประเทศชาติและประชาชน
จนไม่กล้าที่จะพูดความจริง และถ้า “ตัวลุงตู่เอง” ก็กลับ
“ไม่ต้องการที่จะรู้ความจริง” ของแต่ละปัญหาจากคนในพื้นที่
แล้วอย่างนั้นจะยกคณะ
ครม.ชุดใหญ่ออกจากเมืองหลวงมาให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปทำไม่เล่า เพราะการมาประชุม
ครม.สัญจรที่ภาคใต้ก็เพื่อลงพื้นที่ให้ “เห็นของจริง” และเพื่อ
“ฟังปัญหาของคนในพื้นที่” ไม่ใช่หรือ?!
การประชุม ครม.สัญจรภาคใต้
ย่อมต้องไม่ใช่การเดินทางไกลเพียงเพื่อฟังจะได้มาฟังแต่เฉพาะ “เสียงโอ้โลมปฏิโลม”
ให้ชื่นฉ่ำหัวใจเท่านั้น
ดังนั้น กลุ่มผู้นำองค์กรที่มีปัญหาและต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
จึงต้องอย่างกลัว หรืออย่าเกรงใจ ต้องกล้าที่จะไปพบกับนายกรัฐมนตรีและ
ครม.ในระหว่างการประชุม ครม.สัญจรในครั้ง
เพื่อประโยชน์ของประเทศและท้องถิ่นของท่าน ส่วนจะได้พบ หรือไม่ได้พบ
จะได้ยื่นหนังสือให้กับนายกฯ หรือได้แค่ยื่นให้กับตัวแทน
ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
เนื่องเพราะคนที่รู้ปัญหา แต่ไม่ทำอะไรเลย
นั่นคือ “คนบาปของแผ่นดิน”!!
อย่างไรเสียก็ยังมีความหวังว่า ในการประชุม
ครม.สัญจรภาคใต้ในครั้งนี้ แม้จะมีกลุ่มผู้เดือดร้อนไปขอพบนายกฯ
ให้เสียอารมณ์กันบ้าง แต่หลังเสร็จสิ้นภารกิจทุกๆ อย่างก็จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น
จึงหวังว่านายกฯ
คงจะให้โอกาสเข้าพบและรับฟังเสียงเล็กๆ จากพื้นที่ เพื่อนำไปสู่ “ประตูทางออกของปัญหา”
ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น