“ลุงตู่” ทำการบ้านนี้ให้เสร็จก่อนประชุม
“ครม.ประยุทธ์ 5
สัญจรใต้” จะดีไหม?
คอลัมน์
: จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์
มณีพิลึก
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในระหว่างวันที่ 27-28
พ.ย.2560 นี้จะมีปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา
พญาเหยียบเมือง” เกิดขึ้นใน จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา เนื่องเพราะ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำคณะและส่วนงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ครม.สัญจรที่
จ.สงขลา โดยจะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง
ยั่งยืน ในพื้นที่ จ.ปัตตานีก่อน
ว่ากันว่านอกจากจะเป็นการประชุม
ครม.สัญจรครั้งแรกหลังจากที่มีการปรับ ครม.ครั้งใหญ่แล้ว
ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับในวันที่ 27 พ.ย.เป็นวันลงคะแนน “เลือกตั้ง”
คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศ แต่สำหรับในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหมายถึง จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส
การเลือกตั้งอาจจะมีปรากฏการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งในจังหวัดอื่นๆ
ของประเทศ
ดังนั้นจึงเชื่อว่าคนในพื้นที่จะได้เห็น “การคุ้มกัน”
หรือ “การรักษาความปลอดภัย” คณะของนายกรัฐมนตรีที่จะต้อง
“อึกทึกครึกโครม” กว่าทุกๆ
ครั้ง
ประเด็นสำคัญที่หน่วยงานในพื้นที่อย่าง
กก.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.
ต้องการที่จะโชว์เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงคือ ความก้าวหน้าของ “โครงการสามเหลี่ยมมั่งคง
มั่งคั่ง ยั่งยืน” หรือ “เมืองต้นแบบ” ที่
อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
ซึ่งโครงการนี้มีการ “โฆษณาชวนเชื่อ”
ทั้งจาก ครม.ส่วนหน้า ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม
เป็นหัวหน้า พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4
และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ซึ่งตลอดระยะเวลา 2
เดือนที่ผ่านมาได้ทุ่มเทโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วงถึง “ความวิเศษ”
ของเมืองต้นแบบที่เป็นทั้งโครงการเกษตรและอุตสาหกรรมครบวงจร
ประหนึ่งว่าโครงการนี้จะเป็นการ “พลิกฟ้า
พลิกผ่ามือ” ให้ อ.หนองจิก ซึ่งเป็น “พื้นที่ยากจน”
ติดอันดับ กลับกลายเป็นเมืองที่ “มีอันจะกิน”
ในพริบตา
แต่สิ่งที่กลับกันคือ
ประเด็นของคนสงขลาและคนสตูลที่ไม่ยอมรับ “การแบ่งกลุ่มจังหวัดใหม่” ของกระทรวงมหาดไทยและส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
ที่ในเวลานี้มีการประกาศแบ่งพื้นที่ 14
จังหวัดภาคใต้ออกเป็น 2 ส่วนคือ “กลุ่มจังหวัดภาคใต้”
รวม 11 จังหวัดคือ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
พัทลุง ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สงขลาและสตูล กับ “กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน”
แค่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส
เป็นการจัดแบ่งกลุ่มหรือแบ่งโซนพื้นที่โดยเอาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง
สงขลาและสตูลไปรวมอยู่ในกลุ่ม 11
จังหวัดที่ไม่มีชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย
ทั้งที่โดยภูมิศาสตร์และโดยกายภาพของทั้งสงขลาและสตูลเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
ซึ่งการจัดแบ่งโซนหรือแบ่งพื้นที่ครั้งนี้
ตัวแทนจากทุกภาคส่วนของ จ.สงขลา และ จ.สตูล
ได้มีการประชุมและแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยแล้ว
เพราะหากมีการให้สงขลาและสตูลไปอยู่ใน 11 จังหวัดภาคใต้
นั่นต้องกระทบกับแผนการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ
สังคมและความมั่นคงอย่างไม่พักสงสัย
โดยมีการถามหาเหตุผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ความกระจ่างว่า
ที่ให้ไปขึ้นอยู่กับกลุ่ม 11 จังหวัดภาคใต้
เพราะฝ่ายความมั่นคงต้องการที่จะเอาสงขลาและสตูลออกจากพื้นที่ “5
จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ก็เพื่อ “สร้างภาพลักษณ์ใหม่”
ในด้านความมั่นคงให้ดูดีเท่านั้น
เหมือนกับการจับโจรมาเปลี่ยนชื่อและ
เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้อยู่
แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนพฤติการณ์ของการเป็นโจรของคนผู้นั้นแต่อย่างใด
ซึ่งสุดท้ายแล้วการแบ่งกลุ่มให้สงขลากับสตูลใหม่ นอกจากเพิ่ม “ความสับสน” และการทำแผนโครงการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้ สถานการณ์ความมั่นคงดีขึ้นแต่อย่างใด
โดยกลุ่มองค์กรภาคเอกชนที่เป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและสังคมของทั้ง
2
จังหวัดได้เตรียมการที่จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีแล้ว
เพื่อแสดงความคิดเห็นในการที่จะให้สงขลาและสตูลยังอยู่ในกลุ่ม 5
จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนเดิม
แต่ผู้นำภาคเอกชนทุกคนก็ “หวั่นไหว”
ว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะคนที่เป็น “ทหาร”
มาตลอดชีวิตอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า
คสช. ต้องเชื่อและให้น้ำหนักกับฝ่ายความมั่นคงมากกว่าองค์กรอื่นๆ อยู่แล้ว
พวกเขาก็ได้แต่หวังลึกๆ
ว่าเสียงของภาคเอกชนและรวมเสียงของตัวแทนภาคประชาชนจะไม่แผ่วเบา
หรือเป็นเสียงที่ไร้น้ำหนักเหมือนกับ “ขนนก” เพราะองค์กรภาคเอกชนและตัวแทนภาคประชาชนย่อมเข้าใจในเรื่องการพัฒนา
เรื่องเศรษฐกิจและเรื่องของสังคมมากกว่าเหล่า “ขุนทหาร”
อย่างแน่นอน
สำหรับในเรื่องของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น
การลงพื้นที่ของ ครม.สัญจรครั้งนี้คงจะเน้นที่ด้านการพัฒนาตามโครงการสามเหลี่ยม
มั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
มากกว่าในเรื่องของปัญหาการก่อการร้ายหรือการก่อความไม่สงบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
เนื่องจากเหตุผลที่แม่ทัพนายกองในพื้นที่ต้องออกมาประสานเสียงถึงความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “พาคนกลับบ้าน” เรื่อง
“กำปงตักวา” และเรื่อง
“การพูดคุยสันติสุข” เพื่อทำความเข้าใจกับผู้เห็นต่างที่ได้ผล
และงานด้านการพัฒนาพื้นที่ที่เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต
ซึ่งจะสามารถดึงมวลชนมาอยู่กับภาครัฐได้มากขึ้น
แต่โดยข้อเท็จจริง “ระเบิดแสวงเครื่อง”
และ “เสียงปืน” ที่มีความถี่น้อยลงในพื้นที่
3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4
อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ในห้วง 2-3
เดือนที่ผ่านมาอาจจะมาจากสาเหตุในพื้นที่มีการ “หาเสียง”
เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดดังกล่าว
ซึ่งพบว่ามีความเคลื่อนไหวของ ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
อย่างคึกคัก เพราะการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเป็น “งานการเมือง”
ที่สำคัญยิ่งของบีอาร์เอ็นฯ ถ้าในพื้นที่มีการก่อเหตุร้ายมากขึ้น
ย่อมกระทบกับงานการเมือง รวมถึงงานการวางฐานผู้นำศาสนาในแต่ละพื้นที่
เพราะเจ้าหน้าที่ต้องเข้าปิดล้อม ตรวจค้นและลาดตระเวน
อันเป็นอุปสรรคขัดขวางงานการเมืองของบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งปัจจัยตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ “เหตุร้ายรายวัน”
ลดน้อยลง
จึงเชื่อว่าในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์นำ
ครม.มาประชุมสัญจรที่ จ.สงขลา และลงพื้นที่ จ.ปัตตานี
จะไม่มีทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิดรบกวนขุ่นข้องหมองใจอย่างแน่นนอน
แต่หลังจากพ้นวันที่ 27-28 พ.ย.ที่จะถึง
และรู้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามแล้วนั่นแหละ จึงจะได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ
ของการก่อการร้ายอีกครั้ง
ดังนั้นในการประชุม ครม.สัญจรที่
จ.สงขลาครั้งนี้ ประชาชนจะได้เห็นการทุ่มเทให้กับโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย “เงินนับแสนล้านบาท” ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ไม่ใช่ยาหอม
อันเป็นไปตามแนวทางใช้การพัฒนาเพื่อสยบงานด้านการเมืองของบีอาร์เอ็นฯ
แต่สำหรับความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่เมื่อได้ฟังได้เห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึง
“เม็ดเงิน” จำนวนหมื่นล้านแสนล้านที่รัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ทุ่มเทเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ “ดับไฟใต้”
ด้วยงานด้านการพัฒนา
สิ่งแรกที่คนในพื้นที่เห็นชัดไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
โรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าว และอุตสาหกรรมประมงครบวงจร
หรือความเขียวขจีของสวนปาล์มน้ำมันและสวนมะพร้าวที่ เมืองต้นแบบอย่าง อ.หนองจิก
จ.ปัตตานี
เพราะสิ่งที่คนในพื้นที่เห็นคือ “เสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์”
งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ยืนต้นโด่เด่มากกว่า 10,000
ต้น โดยที่ไม่มีแสงไฟแสงสว่างมาเกือบปีแล้วถึงกว่า 4,000
ต้น ได้เห็น “สนามฟุตซอล” ในโครงการ
1 ตำบล 1 สนามที่สร้างแล้วไม่มีหลังคาคลุม
รวมทั้งดันไปสร้างในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมหลายร้อยล้านบาท ซึ่งถูกทิ้งให้ชำรุด
กลายเป็นสนามร้างที่ใช้การไม่ได้เป็นจำนวนมากในแผ่นดิน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
รวมทั้งโครงการอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ “ผลาญงบประมาณ”
หรือเป็นการใช้งบการพัฒนาที่ “ไม่คุ้มค่า”
และ “ไม่เอื้อประโยชน์” กับประชาชน
รวมถึงการได้เห็นข่าวการทุจริตใน “โครงการเซฟตี้สคูล”
หรือการติดตั้งกล้อง CCTV ในโรงเรียนของจังหวัดชายแดนภาคใต้
เรื่องของ “เรือเหาะ” มูลค่า
800 ล้านที่ขึ้นบินเพียง 6
ครั้งแล้วต้องถูกปลอดระวาง “โครงการปรับภูมิทัศน์มัสยิด 300 ปี”
ที่ได้ผู้รับเหมาที่ถูกฟ้องล้มละลาย
จนกลายเป็นประเด็นขัดแย้งกับหลายภาคส่วน
ซึ่งทั้งหมดคือ “โครงการพัฒนาเพื่อการดับไฟใต้”
ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นการ “ประจาน” ถึงความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานในพื้นที่
และกลายเป็นช่องทางก็การทำมาหากินของคนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวยกับ “เงินทอน”
ที่มาจากวิกฤตไฟใต้ทั้งสิ้น
นี่แค่เรื่องจิ๊บๆ ที่ยกมาเป็นเพียง “หนังตัวอย่าง”
ที่เกิดขึ้นที่บนแผ่นดินปลายด้ามขวานเท่านั้น
ความจริงยังมีอีกสารพัดเรื่อง
ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์จากงบพัฒนาและงบความมั่นคงใน 13 ปีของไฟใต้
อันน่าจะเป็น “การบ้าน”
ให้กับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ในการประชุมสัญจรในครั้งนี้
เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทุ่มเม็ดเงินเพื่อการพัฒนาอย่างไร
ถ้าไม่สามารถป้องกันการทุจริตอย่างได้ผล คนที่ร่ำรวยหรือมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ย่อมเป็น “นายทุน” และ
“ข้าราชการ” หาใช่รากหญ้าที่เป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่แต่อย่างใด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น