ไขปริศนาทำไม “ฟืน”
ที่ใช้ก่อไฟใต้จึง “ เปียก” ในห้วง
ต.ค.ปีนี้ กับบทสรุป “ลุงตู่” ควรเจรจากับ
“รัฐบาลมาเลเซีย” ดีกว่าไหม?!
คอลัมน์
: จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์
มณีพิลึก
ยังมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งจาก “แนวร่วม”
ของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ” หรือ
“โจรใต้” กลุ่มนี้ในการพยายามก่อการร้ายในเดือนตุลาคมที่กำลังจะผ่านไป
ด้วยการปลุกระดมโดยยกเอาเหตุการณ์ “ตายหมู่” 80
กว่าศพของ “คนมุสลิม” จากกรณี
“ม็อบตากใบ” เมื่อเดือนตุลาคม
2547 เพื่อที่จะตอกย้ำให้คนมุสลิมเกิดความเจ็บแค้น
และไม่ลืมเหตุการณ์ตายหมู่ที่เกิดขึ้นใน 13 ปีที่ผ่านมา
แต่ความพยายามของแนวร่วมหรือโจรใต้ในเดือนตุลาคมปีนี้
กลับกลายเป็นเรื่องของ “ฟืนเปียก” เลยจุดไฟไม่ติด
ซึ่งอาจจะสืบเนื่องมาจาก 2 สาเหตุด้วยกัน
ประการแรกคือ “เหยื่อ”
ของสถานการณ์ครั้งนั้นจำนวน 80
กว่าศพต่างได้รับการเยียวยาจากภาครัฐในจำนวนที่พอสมควร
เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
รวมทั้งคดีในทางอาญาศาลสถิตยุติธรรมก็ได้มีการพิพากษาเป็นที่เด็ดขาดไปแล้ว
ซึ่งทำให้กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังหมดทางในการที่จะทำให้เรื่องนี้เดินหน้าต่อไปได้อีก
ประการที่สองคือ
ตุลาคมเดือนนี้เป็นเดือนที่มีงานสำคัญยิ่งของประเทศ ทำให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
ใช้มาตรการที่เข้มข้นในการรักษาความสงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อควบคุมพื้นที่มิให้แนวร่วมมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว เพื่อก่อเหตุตามที่ต้องการ
แน่นอนว่า “นกรู้”
อย่างบีอาร์เอ็นฯ
ก็ย่อมที่จะไม่เสี่ยงกับความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการที่เข้มข้นของ
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
จึงทำให้สถานการณ์ความรุนแรงในเดือนตุลาคมนี้ของจังหวัดชายแดนภาคใต้มีเหตุเกิดเพียงประปราย
เพื่อให้มี “ตัวเลข” ว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีความสงบ
แต่หลังจากนี้ไปเมื่อมาตรกรเข้มข้นผ่อนคลายลง
เพราะความอ่อนล้าของกำลังพล “จุดอ่อน” หรือ
“ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นช่องทางให้แนวร่วมหรือโจรใต้กลุ่มนี้ฉวยโอกาสในการก่อเหตุใหญ่ๆ
อีกครั้งครั้ง เพราะวิธีการของบีอาร์เอ็นฯ
คือพร้อมที่จะก่อเหตุทุกเวลาที่มีจังหวะหรือมีช่องว่างเกิดขึ้น
ส่วนเรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อเร็วๆ นี้ “กลุ่มมาราปาตานี”
ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของขบวนการแบ่งแยกดินแดน 4 ขบวนการ 6 กลุ่ม
ได้มีการแถลงข่าวกับสื่อจำนวนหนึ่งที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ในประเด็นกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” กับรัฐบาลไทย
เพื่อแสดงจุดยืนของกลุ่มมาราปาตานี
โดยที่ตัวแทนของกลุ่มมาราปาตานียืนยันว่า
พร้อมในการเดินหน้าเพื่อพูดคุยสันติสุขกับรัฐบาลไทย
และกล่าวว่าในขณะนี้การพูดคุยยังอยู่ในห้วงของ “การสร้างความไว้วางใจ”
เท่านั้น
นั่นแสดงว่ามาราปาตานีได้ปฏิเสธที่จะเข้าสู่ขบวนการกำหนด
“พื้นที่ปลอดภัย” ตามที่ตัวแทนของฝ่ายไทยอย่าง
พล.อ.อักษรา เกิดผล ได้แถลงข่าวไว้
ซึ่งในการแถลงข่าวครั้งนี้ของมาราปาตานี
ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลไทย 3 ข้อด้วยกัน ประกอบด้วย
1.กำหนดให้การพูดคุยเพื่อสันติสุขเป็นวาระแห่งชาติ 2.ให้ยอมรับว่าองค์กรมาราปาตานี
ไม่ใช่กลุ่มที่มีความเห็นต่างจากรัฐ และเป็นองค์กรที่อยู่บนโต๊ะเจรจา และ
3.รัฐบาลไทยต้องให้ความคุ้มครองทางกฎหมายกับคณะพูดคุยสันติสุขของ มาราปาตานีจำนวน
15 คน เพื่อให้การเดินหน้าของกระบวนการพูดคุยเป็นความจริง
การออกมาแถลงข่าวเรียกร้องครั้งนี้ของมาราปาตานี
เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ที่ชัดเจนว่า
หากรัฐบาลไทยยังไม่ตกลงทำตามข้อเรียกร้องใน 3 ประเด็นนี้ก่อน
การที่จะเดินหน้าเพื่อพูดคุยในเรื่องของการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยก็ยังมาไม่ถึง
โดยทั้ง 3 ข้อเรียกร้องนี้ก็คือ “ประเด็นหลัก”
หากรัฐบาลไทยต้องการ “เดินหน้า” ในเรื่องการพูดคุยสันติสุข
ในเงื่อนไขของการสร้างพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ต้องตอบตกลงในข้อเสนอทั้ง 3 ข้อก่อน
และที่สำคัญ สุกรี ฮารี แกนนำบีอาร์เอ็นฯ
ปีกการเมือง หัวหน้าพูดคุยสันติสุข กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
บีอาร์เอ็นฯ ไม่มีนโยบายในการทำร้าย “เป้าหมายอ่อนแอ” แต่ที่เป้าหมายอ่อนแอต้องบาดเจ็บล้มตายนั้น
เป็นเพียง “ลูกหลง” เพราะบังเอิญไปอยู่ใน
“พื้นที่สังหาร” เท่านั้น
แต่ที่น่าสนใจคือ ข้อแถลงของตัวแทนจาก “ขบวนการบีไอพีพี” ที่กล่าวว่า
เป้าหมายสูงสุดของเรายังคงอยู่ที่ “เอกราช” โดยมองเห็นการเข้าร่วมพูดคุยสันติสุขคือช่องทางหนึ่ง
ส่วนจะไปถึงคำว่าเอกราชได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับโต๊ะเจรจา
และยังมีการตบท้ายด้วยว่า
จนถึงขณะนี้รัฐบาลไทยยังเรียกกลุ่มมาราปาตานีว่าเป็น “ปาร์ตี้
บี” แสดงถึงการไม่ยอมรับในกลุ่มมาราปาตานีว่าเป็นองค์กรที่เป็น
“ตัวแทนของ ชาวปาตานี”
ความจริงแล้วยังมีอีกหลายประเด็นย่อยที่กลุ่มมาราปาตานีได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
ซึ่งทุกประเด็นถ้านำมา “ขยายความ” จะทำให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคจากข้อเรียกร้องของกลุ่มมาราปาตานี
ที่ทำให้การขับเคลื่อนเวทีพูดคุยสันติสุขเดินไปสู่การร่วมกันเพื่อกำหนดพื้นที่ปลอดภัย
หรือ “เซฟตี้โซน” แทนจะปิดประตูตาย
เพราะเพียงข้อเรียกร้อง 3
ข้อที่กลุ่มมาราปาตานีเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย นั่นไม่ใช่ข้อเรียกร้องใหม่
แต่ล้วนเป็นการเรียกร้องที่เคยเรียกร้องมาแล้ว แต่ไม่ได้รับการ “ยอมรับ”
จากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่ต้น
และเชื่อว่าในครั้งนี้ก็คงจะยากที่จะให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มมาราปาตานี
เนื่องเพราะหากรัฐบาลยอมทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มมาราปาตานี
โดยเฉพาะในข้อที่ 3 ต้องถามความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยว่า
จะยอมรับหรือไม่
ล่าสุดข่าวจาก “ขบวนการองค์กรสหปัตตานีเสรี”
หรือ “องค์กรปลดปล่อยรัฐปัตตานี” หรือที่รู้จักกันในนาม
“พูโล” แจ้งว่า กาแม ยูโซ๊ะ หรือ นูร
อับดุลเลาะห์มาน ประธานขบวนการพูโลวัย 68 ปี ได้เสียชีวิตในที่พักที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียแล้ว
สำหรับ กาแม ยูโซ๊ะ ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
ตนกูบีรอ กอตอนีรอ ประธานพูโลคนเก่าที่เสียชีวิตเมื่อปี 2552
และไม่เป็นที่ยอมรับของขบวนการมากนัก จนทำให้สุดท้ายขบวนการพูโลต้องแตกออกเป็น 3
กลุ่มด้วยกัน
โดยกลุ่มที่ 1 คือ “พูโลเก่า”
ที่มี กาแม ยูโซ๊ะ เป็นผู้นำ กลุ่มที่ 2 คือ “พูโล
พีแอลเอ” ที่มี ซำซูดิง คาน เป็นผู้นำ และกลุ่มที่ 3 คือ
“พูโล เอ็มเคพี” ที่มี
กัสตูรี มะโกตา เป็นผู้นำ
คงต้องจับตามองว่าหลังการเสียชีวิตของ กาแม
ยูโซ๊ะ” แห่งพูโลเก่า
ขบวนการแห่งนี้จะมีใครมาเป็นหัวหน้า และมีท่าทีอย่างไรกับการพูดคุยสันติสุข
แต่โดยข้อเท็จจริงไม่ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้า หรือประธานขบวนการพูโลเก่า
ก็ไม่มีความหมายกับการขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุขแต่อย่างใด
เพราะเป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่า
ไม่ว่าจะเป็นพูโลเก่า พูโลพี 4 หรือ พูโลใหม่ ล้วนแต่ “ไม่มีศักยภาพ”
ใน “ทางทหาร” มานานแล้ว
ดังนั้นในทั้ง 3 ขบวนการพูโลจึงเป็นเพียง “กาฝาก”
ของกระบวนการพูดคุยสันติสุข ซึ่งรัฐบาลมาเลเซีย “จัดตั้ง”
ขึ้น เพราะต้องการให้มีความสำคัญในการ “ขับเคลื่อน”
ของกระบวนการพูดคุยที่มาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือ “เป็นผู้กำกับตัวจริง”
จะเห็นว่าการจัดแถลงข่าวของกลุ่มมาราปาตานีในโรงแรมหรูกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย ยอมได้รับ “ไฟเขียว” จากรัฐบาลมาเลเซีย
ดังนั้นจึงเชื่อว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของมาราปาตานีย่อมได้รับ “ความเห็นชอบ”
จากรัฐบาลมาเลเซียเช่นกัน
วันนี้หัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในแผ่นดินปลายด้ามขวานของไทยทุกขบวน
“อยู่อย่างผาสุก” ในประเทศมาเลเซีย
แถมยังสามารถ “นั่งวางแผน” ในการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างเสรี
จึงมีคำถามว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การ “ดับไฟใต้”
ที่ได้ผลอย่างแท้จริงนั้น ประเทศไทยเราควรที่จะไปเจรจากับใคร ระหว่าง
“กลุ่มมาราปาตานี” กับ
“รัฐบาลมาเลเซีย”
ขอบคุณ.ไชยยงค์ มณีพิลึก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น