สตูล
ฟาร์มหอยแครงรายใหญ่ในจ.สตูลกำลังประสบปัญหา
น้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืดหอยแครงที่เลี้ยงไว้กว่า 400
ล้านตัว
ตายเกือบหมดทั้งฟาร์มวอนหน่วยงานที่ดูแลเรื่องน้ำติดต่อประสานงานก่อนปล่อยน้ำในช่วงน้ำตายเพราะกระทบเสียหายกว่า
10 ล้าน(ชมคลิป)
วันที่22ตุลาคม2560ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายทรงพล
โง้วรุ่งเรือง อายุ 49 ปี ชาวจ.เพชรบุรี
ซึ่งมาทำธุรกิจฟาร์มหอยแครงในจ.สตูล นำผู้สื่อข่าวไปดูฟาร์มหอยแครงเนื้อที่ 420
ไร่ ที่ตั้งอยู่ม.3 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล
ซึ่งเมื่อใช้คราดๆหอยแครงที่เลี้ยงไว้ตามล็อคต่างๆพบว่าแทบทุกล็อคพบหอยแครงมีสภาพเปลือกนอกกลายเป็นสีดำ
และมีกลิ่นเหม็น โดยนายทรงพล กล่าวว่าฟาร์มดังกล่าวเลี้ยงอยู่ประมาณ 4-5
ราย ทุกรายประสบปัญหาเหมือนกันหมด โดยหอยแครงดังกล่าวจะเก็บขึ้นจำหน่ายได้ในวันที่
1 พ.ย. 60
นี้ เท่ากับว่าต้องเสียหายขาดทุนไปตามๆกัน เพราะหอยที่ใช้ได้มีเพียงไม่ถึง 10
เปอร์เซ็นต์และที่หนักกว่าคือต้องคราดหอยที่ตายออกไม่ต่ำกว่า10
ตันก็ยังไม่รู้ว่าต้องนำไปทิ้งที่ไหน
นายทรงพล กล่าวด้วยว่าสาเหตุที่ทำให้หอยตาย
น่าจะเกิดจากสภาพน้ำที่มีความเค็มลดลงหรือพูดง่ายๆว่ามีความเค็มเท่ากับศูนย์
เนื่องจากตนมีการตรวจวัดระดับความเค็มเป็นประจำ ซึ่งความเค็มปกติอยู่ที่ประมาณ 20-30
แต่ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.เป็นต้นมาความเค็มอยู่ที่ระดับศูนย์
ซึ่งหมายถึงกลายเป็นน้ำจืด เนื่องจากน้ำจืดถูกปล่อยลงมามากนั่นเอง
ซึ่งอาการแบบนี้ตนเป็นห่วงในช่วงที่ฝนตกน้ำท่วมหนักถึงหลายระลอกแต่ในช่วงดังกล่าวไม่มีปัญหาเพราะตรงกับช่วงน้ำใหญ่
ที่น้ำสามารถไหลลงทะเลอย่างรวดเร็วช่วงน้ำลด จึงเป็นน้ำไหลผ่าน
แต่ในช่วงที่น้ำกลายเป็นน้ำจืดนั้นตรงกับช่วงน้ำตาย
เมื่อน้ำจืดลงมาน้ำไม่ได้ไหลไปไหนทำให้หอยต้องอยู่ในสภาพน้ำจืดจึงตายเกือบยกแปลง
เลี้ยงหอยแครงไว้ 80 ล็อคตายเกือบหมดทุกล็อค
ซึ่งหอยแครงในระยะนี้มีราคาค่อนข้างแพงคือขายส่งก.ก.ละ 65
บาท หากขายในพื้นที่ก.ก.ละ 70
บาทซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจะนำไปขายปลีกก.ก.ละ 100
บาท โดยปกติหอยอยู่ที่ 120 ตัว/ก.ก. ซึ่งหอยที่ตายอยู่ที่ 150
ตัว/ก.ก. เหลืออีกเพียง 10 กว่าวันก็เก็บขายได้แล้ว
โดยหอยส่วนใหญ่จะส่งไปยังกทม.
เมื่อประสบปัญหาเท่ากับขาดทุนไปเลย ลงทุนไปในรอบนี้ 13
ล้านบาท เลี้ยงมา 6 ปีแล้วปีนี้เพิ่งจะประสบปัญหาขาดทุนเช่นนี้
และที่สำคัญหอยที่ตายในทะเลอีกหลายสิบตัวจะต้องคราดออกเพื่อเคลียร์พื้นที่จะนำเปลือกหอยเหล่านี้ไปไว้ที่ไหนและค่าใช้จ่ายส่วนนี้อีกไม่ต่ำกว่า2
ล้าน และวอนขอภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการเปิดปิดประตูน้ำ
หากมีการปล่อยน้ำน่าจะมีการประสานงานกันบ้างอย่างน้อยเกษตรกรที่อยู่ท้ายน้ำไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชัง
หรือฟาร์มหอยแครง ได้อยู่รอดได้บ้าง
ขอบคุณนิตยา แสงมณี // สตูล
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น