โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ปิดแค่ 6 จุดข้ามแดนเถื่อนยังไม่แก้ “ภัยแทรกซ้อน” วอนอย่าทำตัวเป็นเครื่องมือเล่นงาน “IS” ให้มาเลย์

ปิดแค่ 6 จุดข้ามแดนเถื่อนยังไม่แก้ ภัยแทรกซ้อนวอนอย่าทำตัวเป็นเครื่องมือเล่นงาน “IS” ให้มาเลย์ / ไชยยงค์ มณีพิลึก
  สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่เกิดเหตุความรุนแรงทั้งในรูปแบบ คาร์บอมบ์หรือ จยย.บอมบ์ มีเพียงเหตุซุ่มโจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และเหตุรายวันต่างๆ ที่ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเรื่องของความมั่นคง เรื่องการค้ายาเสพติด หรือล้างแค้นส่วนตัว
        

       การที่ไม่เกิดเหตุร้ายแรงนั่นก็ยังไม่มีอะไรที่ชี้ชัดว่า เป็นเพราะ แผนหรือยุทธวิธี เชิงรุกในการป้องกันเหตุของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นไปอย่างได้ผล หรือเป็นเพราะ แนวร่วมของบีอาร์เอ็นฯ มีเหตุผลอื่นที่ยังต้องปฏิบัติการพัวพันอยู่
       
       แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น โดยที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามาจากปัจจัยอะไร เราก็ต้องยกประโยชน์ให้แก่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ว่าช่วง เดือนรอมฎอน ปีนี้มีการป้องกันเหตุร้ายได้ดี
       
       แต่ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่าสาเหตุที่เหตุร้ายไม่เกิดในห้วงเวลานี้เป็นเพราะเราอุดช่องว่างหรือ ช่องโหว่หรือตีขลุมไปว่า กุมสภาพพื้นที่ได้ดี เพราะแนวร่วมบีอาร์เอ็นอาจจะกำลังวางแผนในการก่อเหตุครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ ตามนโยบายไม่ทำงานเล็กๆ ถี่ๆ โดยรอ จังหวะและ โอกาสในการก่อเหตุครั้งใหญ่ แม้จะนานๆ ครั้ง แต่สามารถสร้างความเสียหายได้ใหญ่หลวง
       
       โดยเฉพาะเรื่องการ ปิดจุดข้ามแดนเถื่อน ริมคลองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รวมจำนวน 6 จุด ซึ่งเป็นการปิดท่าข้ามตามวิถีชีวิตของคนแนวชายแดนที่ใช้กันมาช้านาน ซึ่งเป็นการปิดตามนโยบายของความมั่นคง เนื่องจาก การข่าว ที่หน่วยงานความมั่นคงได้รับมามีความน่าเชื่อถือว่า แนวร่วมบีอาร์เอ็นฯ อาจจะใช้ท่าข้ามเถื่อนทั้ง 6 แห่ง เข้าไปเพื่อก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       ในขณะที่ในฝั่งของประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจของเขาก็มีการลาดตระเวน หรือ เอกซเรย์ แนวชายแดนด้านที่ติดกับประเทศไทยอย่างเข้มข้น ด้วยเหตุผลของการป้องกันคนร้ายกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ที่มีเป้าหมายก่อเหตุในประเทศมาเลเซียเช่นกัน
       
       แน่นอนว่าการปิดท่าข้ามเถื่อนทั้ง 6 จุดต้องสร้างความไม่พอใจให้แก่ คนกลุ่มหนึ่ง ที่เคยได้ประโยชน์ หรือมีอาชีพเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนมาเลเซียที่ต้องการข้ามมายังเที่ยวยังเขตเทศบาลสุไหงโก-ลกโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง หรือแม้แต่ คนไทยที่ใช้ข้ามไปฝั่งมาเลเซียแบบเดียวกัน ซึ่งก็ทำกันมาช้านาน โดยลืมไปแล้วว่าเป็นเรื่อง ผิดกฎหมาย
        

       คนมาเลเซียที่เข้าเมืองที่ท่าข้ามเถื่อนส่วนใหญ่ชอบมาเที่ยวผู้หญิง หรือมาหาความสุขในสถานบันเทิง อันเป็นไปแบบไม่ต้องการให้ ทางบ้านและ ทางการ รับรู้
       
       ดังนั้น การปิดท่าข้ามเถื่อนกลุ่มคนที่เสียประโยชน์มากกว่าใครอื่นก็คือนายทุนเจ้าของสถานบันเทิง หรืออาจรวมทั้ง นายบ่อนทั้ง 2 แห่งที่อยู่ในโรงแรมหรูในตลาดสุไหงโก-ลก และถ้าถูกปิดเป็นเวลานาน ผลกระทบนี้จะต้องเกิดขึ้นต่อ คนในเครื่องแบบหลายหน่วยงาน เพราะ ส่วยจากบ่อน และจากซ่องยังเป็นอันดับหนึ่งของเมืองชายแดนแห่งนี้
       
       ในส่วนของคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และอาชีพอื่นๆ ก็ต้องได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วยแน่นอน แต่เมื่อหน่วยงานความมั่นคง มีข่าว ที่ระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายอาจจะเข้ามาตามช่องทางเหล่านี้ เมื่อจำเป็นต้องปิด ทุกคนก็ต้อง ทำใจ และต้องมีการปรับตัวให้เป็นไปตามสภาพของบ้านเมือง จะอาศัยเพียงคิดว่า ตนเองเดือดร้อน โดยที่ไม่ได้คิดถึงความสูญเสียของส่วนรวม หรือของประเทศชาติ นั่นน่าจะถือว่าไม่ถูกต้อง
       
       ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็เช่นกัน ต้องมีการ ตรวจสอบข่าว ให้แน่ชัดถึงความน่าเชื่อถือ ก่อนที่จะทำการปิด เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่ จุดผ่อนปรน แต่ทั้ง 6 แห่งเป็นท่าข้ามเถื่อนก็จริงอยู่ แต่เมื่อที่ผ่านๆ มา มีการปล่อยปละละเลยจน เลยเถิด เพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องความมั่นคง แต่คิดเพียงเรื่อง หาเงินเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเดียว เมื่อต้องนำกฎหมายมาบังคับใช้จริงจัง ก็ย่อมต้องมีการ ต่อต้าน จากนายทุนผู้เสียประโยชน์ และรวมถึงประชาชนผู้ที่เดือดร้อน และไม่ยอมปรับตัว
       
       สิ่งที่ต้องระวัง และป้องกันคือ แนวร่วมบีอาร์เอ็นฯ อาจจะฉวยโอกาสของการปิดท่าข้ามเถื่อน ด้วยการก่อเหตุในพื้นที่เพื่อให้เห็นว่ามี ความเจ็บแค้น แทนกลุ่มคนที่เดือดร้อน ซึ่งเป็นเรื่องของการ ฉกฉวย โอกาสที่บีอาร์เอ็นฯ มีความ จัดเจน ในขณะที่หน่วยงานความมั่นคงมักจะ คาดไม่ถึง
     
   
       ส่วนการสั่งปิดท่าข้ามเถื่อนทั้ง 6 แห่งดังกล่าวจะเป็นเวลากี่วันนั้น เรื่องนี้ก็ต้องอยู่ที่ งานการข่าว เป็นสำคัญ ถ้าเห็นว่าปลอดภัยจากการ ปะปน เข้ามาของแนวร่วมก็สามารถสั่งเปิดได้ทันที
       
       แต่ถ้าเป็นไปได้การปิดท่าข้ามเถื่อนนั้น ไม่ควรปิดเฉพาะแค่ 6 จุดใน อ.สุไหงโก-ลกดังที่กล่าวมา แต่ควรปิดไปทั้งหมดทั้งปวงของท่าข้ามเถื่อนที่มีอยู่ตั้งแต่ในพื้นที่ อ.สุคิริน อ.แว้ง อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก หรือตลอดแนวชายแดนไปเลยด้วย
        
       เพราะไม่ใช่ช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงเท่านั้น ยังจะเป็นการแก้ปัญหา ภัยแทรกซ้อนได้อย่างแท้จริงด้วย
       
       โดยเฉพาะถ้า พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มั่นใจว่า เหตุร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากภัยแทรกซ้อน เช่น การค้ายาเสพติด การค้าน้ำมันเถื่อน หรือบ่อนการพนัน และแหล่งอบายมุข นั่นก็สมควรจะปิดจุดข้ามแดนเถื่อนไปเสียทั้งหมด และทำการ สกรีน ชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้าน จ.นราธิวาส ให้เด็ดขาดไปเสียด้วยเลย เพราะวันนี้ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน หรือบ่อนการพนัน ล้วนมีต้นตออยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส เป็นอันดับหนึ่ง
       
       หากทำได้เช่นที่ว่ามานี้ นอกจากจะทำให้งานป้องกันของฝ่ายความมั่นคงดีขึ้น แถมงานด้านภัยแทรกซ้อนก็จะหมดไปแล้ว ยังทำให้คนในเครื่องแบบสารพัดสังกัดที่เคยเดินขวักไขว่ใน อ.สุไหงโก-ลก และพื้นที่อื่นๆ เพื่อเก็บส่วยต่างๆ นานาจะได้ หยุดประพฤติชั่วกันบ้าง และจะได้ กลับเข้ากรมกองหรือ สังกัดไปทำหน้าที่ของตนเองให้เหมาะสมต่อการรับเงินเดือนจากประชาชนผู้เสียภาษี
       
       แต่การปิดท่าข้ามเถื่อนในครั้งนี้ก็มี เดิมพัน ระหว่างคนในเขตเทศบาลสุไหงโก-ลก กับผู้ปฏิบัติในหน่วยงานความมั่นคง เพราะคนในพื้นที่เชื่อว่า ท่าข้ามเถื่อนไม่ใช่ทางเข้า-ออกของ โจรใต้ หรือแม้แต่แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากโจรใต้มีเส้นทางในการเข้า-ออก รวมถึงส่ง ยุทธปัจจัย เพื่อใช้ในการก่อการร้ายที่แตกต่างออกไป
           
       ดังนั้น ถ้าหน่วยความมั่นคงปิดท่าข้ามเถื่อนแล้วยังเกิดคาร์บอมบ์ หรือ จยย.บอมบ์ หรือเหตุร้ายอื่นๆ ขึ้นอีกในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็ต้อง มีคำตอบ ให้แก่กลุ่มประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยต่อการปิดท่าข้ามเถื่อนในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
           
       และหวังว่าการปิดท่าข้ามเถื่อนทั้ง 6 แห่งในครั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงจะไม่มี เลศนัยอื่นๆ แอบแฝงอยู่ อย่างเช่นเป็นการให้ความร่วมมือกับมาเลเซียในเรื่องป้องกันการหลบหนีของกลุ่มไอเอส ซึ่งอาจจะหลบหนีจากฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซียเข้าไปยังมาเลเซีย โดยอาจจะใช้เส้นทางเข้ามาหลบซ่อนในประเทศไทย ซึ่งถือเป็น แดนสวรรค์ของกลุ่มก่อการร้ายไปแล้ว
        
       เพราะไอเอสไม่ใช่ศัตรูกับฝ่ายความมั่นคงของไทย แต่ถ้าไทยให้การช่วยเหลือจับกุมกลุ่มไอเอสให้แก่มาเลเซียเมื่อไหร่ ประเทศไทยอาจจะกลับกลายเป็น เป้าหมายของการแก้แค้นของไอเอส ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
        



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น