ต้องอย่าเชื่อ “แม่ทัพนายกอง-เสนาบดีเอี้ยๆ” และเลิกเสียการกระทำ “เข้าทางโจรใต้”




ต้องอย่าเชื่อ “แม่ทัพนายกอง-เสนาบดีเอี้ยๆ” และเลิกเสียการกระทำ “เข้าทางโจรใต้”  



 




 พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2560

       คงจะไม่ช้าสำหรับการที่จะแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ 6 ทหารพราน ผู้พลีชีพ จากน้ำมือ โจรใต้ในคราบนักรบ ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
       
       ในวันที่เมียขาดผู้เป็นเสาหลักและลูกต้องกลายเป็น กำพร้าสิ่งที่สื่อมวลชนเล็กๆ คนหนึ่งสามารถทำได้คือ เสียใจและหวังว่ากองทัพ ซึ่งหมายรวมถึงรัฐบาลด้วย ต้องทำหน้าที่ ดูแลครบครัวทหารกล้าทั้ง 6 นายให้ดีกว่าการดูแล และ เยียวยาครอบครัวของโจรใต้ ไม่ว่าจะในฐานะของผู้ที่ เห็นต่างหรือ หลงผิดอย่างที่รัฐพยายามเรียกร้อง เพื่อสร้าง ความพึงใจให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือที่ชัดเจนคือ โจรนั่นเอง
       
       แน่นอนว่าความสูญเสียเช่นนี้ยังต้องเกิดขึ้นต่อไป หญิงหม้ายและเด็กกำพร้าก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการส่งทหารเข้าไปทำหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่มีหนทางที่จะยุติ
       
       โดยเฉพาะเมื่อ กองทัพภาคที่ 4” หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังไม่สามารถเอาชนะ ทางทหารกับขบวนการบีอาร์เอ็น หรือบรรดากลุ่มโจรใต้ในพื้นที่ได้
       
       ความจริงการเอาชนะทางการทหารไม่ยากเหมือนกับการเอาชนะ ทางการเมืองเพราะสงครามประชาชนที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ และดำรงอยู่ต่อเนื่องมา 13 ปีนั้น ถึงวันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รู้แผนปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น หรือกลุ่มโจรใต้ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลาได้แก่ เทพา นาทวี สะบ้านย้อย และจะนะ ได้แบบกระจ่างแล้ว
       
       รวมทั้งยังรู้ถึงการสร้าง เครือข่าย ของบีอาร์เอ็นในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนว่ามีอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง จนวันนี้กองทัพภาคที่ 4 ถึงกับมีการกำหนด แผนพิทักษ์ส่วนหลัง เพื่อที่จะรับมือต่อการก่อการร้ายของบรรดาโจรใต้ในจังหวัดภาคใต้ตอนบนแล้วด้วย
       
       ซึ่งการที่จะเอาชนะบีอาร์เอ็น หรือกลุ่มโจรใต้ ต้องเอาชนะทางการทหารด้วยการ ควบคุมพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่กองกำลังของบีอาร์เอ็นเข้มแข็ง โดยทั้งทหาร และตำรวจในพื้นที่เหล่านั้นต้องทำให้ กองกำลังจรยุทธ์ ของบีอาร์เอ็น ซึ่งมีอยู่หมู่บ้านละ 25 คน เคลื่อนไหวไม่ได้ รวมทั้งต้องมีการ ไล่ต้อน กองกำลังจรยุทธ์เหล่านั้นให้จมมุม ถ้าจับไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ไม่ได้เช่นกัน
       
       แต่ที่ผ่านมายุทธวิธีของกำลังรบของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังขาดแผนยุทธการที่ดี นั่นก็คงเป็นเหตุเป็นผลของ ผู้บังคับบัญชาในแต่ละพื้นที่ ซึ่งก็ต้องมีการทำความเข้าใจในสถานการณ์ให้ตรงกัน โดยต้องมี ชุดความจริงชุดเดียวกัน และที่สำคัญต้องฟังคำสั่งจาก ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพียงคนเดียว
       
       เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วได้เห็น พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผบ.ทบ. เดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์แบบ ค้างคืน มีการตรวจจุดตรวจ และจุดสกัดในพื้นที่หลายจุด และมีการให้นโยบายต่อกำลังพล โดยให้มี แผนรุกทางการทหารและ แผนรุกทางการเมือง พร้อมให้มีการ ลาดตระเวนในเวลากลางคืนและให้มีการตั้งด่านลอย
       
       นั่นแสดงให้เห็นว่า ผบ.ทบ.รู้ว่า ศัตรูของแผ่นดินปลายด้ามขวานคือ บีอาร์เอ็น หาใช้เป็นเรื่องของ ภัยแทรกซ้อนและนโยบายที่ ผบ.ทบ.ให้แก่กำลังในพื้นที่คือ การรุกทางการทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ ควบคุมความเคลื่อนไหวของโจรใต้ และหากต่อสู้ก็หมายถึงการ วิสามัญเพราะไม่มีกองทัพประเทศไหนในโลกนี้ที่จะปล่อยให้โจรทำร้าย และมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่รัฐ
       
       นโยบายให้กองกำลังในพื้นที่ออกปฏิบัติการในเวลากลางคืน เป็นวิธีการที่ถูกต้อง เพราะที่โจรใต้ย่ามใจจนสามารถปฏิบัติการในเวลากลางคืนอย่างได้ผล มาจากการที่โจรใต้รู้ความเคลื่อนไหวของกำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และรู้ว่าในเวลากลางคืนเจ้าหน้าที่จะไม่ออกจากฐานปฏิบัติการ เพราะกลัวความสูญเสีย
       
       จนชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงกับกล่าวกันว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น กลางวันเป็นเวลาของเจ้าหน้าที่ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาของโจรแต่สุดท้ายแล้ว แม้แต่เวลา กลางวัน โจรใต้ก็ยังสามารถปฏิบัติการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างสะดวกสบาย อย่างเช่นกรณี 6 ศพทหารพรานที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาสนั่นไง
       
       ต้องยอมรับว่า ยุทธวิธีในการเดินทาง ลาดตระเวน ของเจ้าหน้าที่ยังไม่มี ความรัดกุม ยานพาหนะที่ใช้ก็ยังไม่ เซฟตี้ ซึ่งเวลานี้วิธีการยังเหมือนกับการเดินทางใน พื้นที่ปกติ ทั้งที่พื้นที่ตรงนั้นเป็น พื้นที่สู้รบ ที่เห็นชัดเจนคือ ไม่มีการแบ่งกำลังเพื่อช่วยกันและกันในยามถูกซุ่มยิง หรือถูกลอบวางระเบิด
        
       ที่สำคัญเวลาเดินทางในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรายังเห็นกองกำลังในพื้นที่ ขาดความใสใจกับสิ่งรอบข้าง กับยานพาหนะ และบุคคลที่ผ่านไป-มา ดูได้จากส่วนหนึ่ง นั่งเล่นไลน์-เล่นเฟซบุ๊กและที่สำคัญที่เห็น และรู้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็คือ การ จัดฉากตั้งด่านตรวจ แล้ว ถ่ายรูปส่งไลน์ไปให้ นายเห็นว่ามีการปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่หลังจากนั้นทั้งจุดตรวจ และจุดสกัดก็ถูกยกเลิก
        
       โดยเฉพาะวิธีการนี้หน่วยงานที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าอาสาสมัครนิยมชมชอบมากที่สุด
         ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้เดินทางมายังพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อร่วมประชุมกับคณะ คปต.” หรือที่มักเรียกกันว่า ครม.ส่วนหน้า พร้อมๆ กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถือเป็นการลงมาเพื่อ ติวเข้มในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เห็นถึงความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
       
       แน่นอนว่าต้องรวมถึงการมองเห็นการเคลื่อนไหวของ “ไทยพุทธ ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับ นโยบายดับไฟใต้”  ทั้งในเรื่องของการ พาคนกลับบ้าน” และการ พูดคุยสันติสุข” ตลอดจนการออกมาเรียกร้อง ความเท่าเทียม” ในสิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับคนในพื้นที่ ซึ่งเวลานี้ มุสลิม” ได้รับได้รับมากกว่า รวมทั้งการดูแลด้าน ความปลอดภัยคนไทยพุทธ ที่ต้องตกเป็นเหยื่อสถานการณ์ จนปัจจุบันมีจำนวน ร่อยหรอลงเรื่อยๆ
       
       ณ วันนี้เหลือคนไทยพุทธในพื้นที่อยู่เพียงประมาณ “60,000 ชีวิต จากที่ก่อนปี 2547 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคนไทยพุทธอยู่มากกว่า “200,000 ชีวิต
        
       เรื่องนี้เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดหาก พล.อ.ประวิตร ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือได้ข้อมูลจากบรรดาแม่ทัพนายกองหรือ เสนาบดีเอี้ยๆ ในพื้นที่ที่ต้องการปกปิดความจริงเพราะมีการนั่ง ทับอึเอาไว้มากมาย การแก้ปัญหาไฟใต้แทนที่จะถูกต้อง ถูกจุด ก็จะถูก เบี่ยงเบนเพื่อประโยชน์ส่วนตน และพรรคพวก จนลืมประโยชน์ของประเทศชาติไปเสีย
       
       ซึ่งคนในปลายด้ามขวานจะต้องช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังการลงมาของคนระดับรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม รวมทั้ง ผบ.ทบ.จะทำให้ นโยบาย” และ “ยุทธวิธี ของกองกำลังในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่  เป็นประโยชน์” โดยเฉพาะเป็นไปเพื่อการ “ทำลายโจรใต้ ได้หรือไม่
       
       เพราะเราต้องผจญกับโจรใต้ หรือบีอาร์เอ็นมาแล้วถึง 13 ปี น่าจะเพียงพอแล้วต่อวิธีการเอาใจโจรในทุกรูปแบบ วันนี้ควรจะถึงเวลา แตกหักของการทำ สงครามประชาชนได้แล้ว  ถึงวันนี้เป็นเวลาที่เราสามารถแยกแยะ คนดีกับ คนชั่วออกจากกันได้แล้ว กลุ่มไหน หรือใครที่พูดคุย รู้เรื่องก็พูดคุยกันไป คนไหนที่ยังถอนชิฟได้ก็ถอนกันไป
        
       แต่กลุ่มไหน หรือคนไหนไม่ว่าจะเป็น กองกำลังติดอาวุธหรือเล่นบท “ลูกคู่-หางเครื่องที่อยู่ในคราบขององค์กรโน้น นู้น นี่ นั่น ถ้ายัง ตีสองหน้ายัง แทงข้างหลังก็ต้องใช้วิธีการ สุดท้ายในการจัดการเพื่อให้พื้นที่ตรงนี้มีความสงบ ส่วนเรื่อง สันติภาพมันเป็นเรื่องใหญ่ และ เพ้อฝันสำหรับคนบางกลุ่ม หรือบางพวกเท่านั้น
       
       และไม่ว่าจะใช้นโยบายแบบไหน หรือใช้ยุทธการอย่างไร สิ่งที่หน่วยงานทุกหน่วยต้องคิดให้ตรงกันคือ ประเทศเราเป็น รัฐพุทธ ดังนั้น คนไทยพุทธ ต้องได้รับความคุ้มครอง และส่งเสริมที่เท่าเทียมกับคนในศาสนาอื่นๆ
       
       โดยเราต้องเห็นด้วยต่อนโยบายดับไฟใต้ที่จะต้อง ล้างความคิดที่ผิด” จาก “คนที่หลงผิด โดยจะไม่ ทำลายชีวิตของคนที่คิดผิด ยกเว้นคนเหล่านั้น หมดหนทางเยียวยา แล้วก็ย่อมปล่อยให้เป็น เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ต่อไปไม่ได้
       
       แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วรู้สึกผิดหวังกับเวทีไทยพุทธไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเวทีของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าหรือของ ศอ.บต.เพราะพบว่าวันนี้คนไทยพุทธยัง ไม่มีเอกภาพในการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะในการสร้างเครือข่าย
       
       เนื่องเพราะคนที่เป็น หลัก” เป็น “แกนนำ ได้ปฏิเสธที่จะไปร่วมแก้ปัญหา หรือเสนอแนวทางในการแก้ปัญหากับรัฐ แต่ถนัดในการที่จะเป็น กองเชียร์ ทางไลน์ ทางเฟซบุ๊ก ส่วนคนที่ไม่ร่วมเวทีส่วนหนึ่งยังเป็นพวก มวยวัด” หรือ “มวยทะเล ที่สุดท้ายแล้วยังหา ความเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้
       
       และที่สำคัญวันนี้เรามีแต่ นักสู้ผมขาว ส่วนหนุ่มสาวเยาวชนที่ควรจะเป็นอนาคตของปลายด้ามขวานกลับยังหาไม่เจอ นี่คือ โจทย์ ใหญ่สำหรับคนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะต้องเร่งทำการแก้ไขโดยด่วน
       
       เพราะเห็นเวทีของคนมุสลิมหลายเวที ต้องนับเป็นเวทีที่มีนักคิด นักการศาสนา เยาวชนคนหนุ่มสาวเป็น พลัง” หรือเป็น “กำลังหลัก” ในการขับเคลื่อนสิ่งที่เขาเรียกร้อง เขารู้จัก สร้างเครือข่าย” เพื่อให้ “เสียงของเขาก้องดัง ทั้งในระดับประเทศ และสังคมโลก
       
       ในขณะที่ไทยพุทธเราที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายรัฐอาจจะต้อง จ้าง คนไทยพุทธให้อยู่ในพื้นที่ พวกเรายังทำตัวเป็น ไก่ในเข่งวันตรุษจีน ที่รู้วันตายว่าพรุ่งนี้จะถูกเชือดคอไหว้เจ้า แทนที่จะช่วยกัน ทลายเข่ง” ออกมา แต่เรากลับ “จิกตีกันเอง เพราะแก่งแย่งความเป็นที่หนึ่ง มากกว่าที่จะเห็นความสำคัญของประเทศชาติ
       
       แน่นอนว่าความไม่เป็นเอกภาพของคนไทยพุทธในพื้นที่ คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการที่จะเห็น และต้อการให้เกิดมากขึ้นๆ เพราะนี่คือตัวแปรที่สำคัญที่สุดของการแบ่งแยกดินแดน เพราะถ้าคนไทยพุทธอ่อนแอ และร่อยหรอลงเรื่อยๆ แผ่นดินปลายด้ามขวานมีปัญหาแน่นอน เพราะ คนอยู่ แผ่นดินยังแต่ถ้าคนหมด แผ่นดินก็หมดไปด้วย
       
       วันนี้คนไทยพุทธต้อง คิดให้ได้-คิดให้เป็น ต้องเป็นกำลังหลักของรัฐ เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐแก้ปัญหา ในส่วนที่รัฐทำไม่ถูก โกง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ว่ากันไปตามกระบวนการของการตรวจสอบ แต่ไม่ควรที่จะ ปฏิเสธ และมองหน่วยของรัฐเป็น ศัตรู ด้วยการไม่ร่วม สังฆกรรม เพราะนี่คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นอยากให้เกิด เพื่อที่เขาจะได้ชัยชนะเร็วขึ้น
       
       เพราะฉะนั้นการที่สงครามประชาชนระลอกใหม่ที่ปลายด้ามขวานยังคงเป็นสงครามยืดเยื้อเรายังไม่รู้แพ้ ไม่รู้ชนะ ทั้งที่ต่อสู้กันมาแล้วถึง 13 ปี นั่นอาจจะเป็นเพราะทั้งหน่วยงานของรัฐ และประชาชนในพื้นที่ต่างทำในสิ่งที่เรียกว่าเข้าทางโจรด้วยกันทั้งนั้น
    

      ไชยยงค์ มณีพิลึก


   
ใหม่กว่า เก่ากว่า

Popular Items