แจ้งความ “ผู้จัดการออนไลน์” ต้องขอบคุณกองทัพที่ไม่ใช้ “อำนาจ” โดยมิชอบ
คอลัมน์
: จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์
มณีพิลึก
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ยังคงเดินหน้าต่อไปตามการกำหนดของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” จากการวางระเบิด
จยย.บอมบ์ที่ตลาดพิมลชัย เขตเทศบาลนครยะลา
ไปสู่การวางระเบิดแสวงเครื่องที่หน้าโรงเรียนบ้านซีเยาะ หมู่ที่ 5
ต.บาโงยซิแน อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งได้ “บ่งบอก” อะไรกับคนในพื้นที่และหน่วยงานความมั่นคงมากมาย
ถ้าจะให้บ่งบอกแบบไม่มี “บีอาร์เอ็นฯ”แล้วก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง
2 เหตุการณ์เป็นเรื่องของการ “แก้แค้นส่วนตัว”
หรือเป็นเรื่องของ “ตระกูลใหญ่ 4-5
ตระกูล” ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลเป็นผู้สั่งการให้ก่อเหตุความรุนแรง
เพื่อสร้างสถานการณ์ อันเป็นการทำลายเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่รัฐ
นั่นก็น่าจะได้
แต่ถ้ามองแบบมีเลศนัยและมองว่าการก่อเหตุทั้ง 2
ครั้งเป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นการสั่งการของบีอาร์เอ็นฯ
ก็จะมีคำตอบกับสังคมในทั้ง 2 เหตุการณ์ว่า
เป็นการก่อเหตุเพื่อทำลาย “ข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคม” โดยเฉพาะกระบวนการ
“พูดคุยสันติสุข”
เนื่องจากตลาด โรงเรียนและศาสนสถาน
ล้วนเป็นพื้นที่ที่ถูกเรียกร้องจากภาคประชาสังคมให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย”
หรือ “เซฟตี้โซน” แต่การก่อเหตุทั้ง
2 ครั้งกลับเป็นการ “จงใจ”
ที่จะก่อเหตุในพื้นที่ ซึ่งถูกเรียกร้องให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยนั่นเอง
วันนี้พื้นที่ที่ถูกเรียกร้องให้เป็นที่ปลอดภัยถูกทำลายไปแล้ว
2 แห่งคือ “ตลาด”
กับ “โรงเรียน” จึงยังเหลือเพียง
“ศาสนสถาน” อันหมายถึง
“วัด” และ “มัสยิด”
ที่ยังไม่การก่อเหตุ ซึ่งก็ประมาทไม่ได้ว่าโจรใต้จะไม่มีการปฏิบัติการในสถานที่เหล่านั้น
ดังนั้น ปฏิบัติการทั้ง 2
ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันในพื้นที่ จ.ยะลา จึงเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียว
ได้นกสองตัว”
นั่นคือ
การทำลายความเชื่อมั่นในการป้องกันเหตุของ กอ.รมน.ภาค 4
ส่วนหน้า และการทำลายความเชื่อมั่นของการกำหนดพื้นที่เซฟตี้โซนของคณะพูดคุยสันติสุข
ซึ่งกำลังดำเนินการในการจัดตั้ง “สำนักงาน” เพื่อเป็นที่ปฏิบัติหน้าที่ของคณะเจ้าหน้าที่ในการพูดคุยเพื่อกำหนดพื้นที่ปลอดภัย
หรือเซฟตี้โซน ระหว่างคณะพูดคุยของรัฐบาลไทย กลับกลุ่มมาราปาตานี
สิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ
ก่อนการวางระเบิดตลาดพิมลชัย ผู้ใหญ่ในกองทัพมีการให้สัมภาษณ์สื่อแบบถี่ๆ ว่า
สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบีอาร์เอ็นฯ
เพราะขบวนการแบ่งแยกดินแดนหมดไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้นานแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีเหตุ จยย.บอมบ์เกิดขึ้น กลางเมืองยะลา
ข้อสังเกตต่อมา กอ.รมน.ภาค 4
ส่วนหน้า พยายามในการ “สร้างภาพ” ให้เห็นถึงความสงบสุข
และความก้าวหน้าในการให้กระบวนการสร้างสันติวิธีเพื่อการดับไฟใต้ ด้วยการจัดงาน “พาคนกลับบ้าน”
อย่างหะรูหะรา เพื่อตอกย้ำให้สังคมเห็นถึงความสำเร็จ
แต่คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันก็มีเหตุระเบิดแสวงเครื่องที่หน้าโรงเรียนบ้านซีเยาะขึ้น
เหมือนกับเป็นการจงใจที่จะให้คำตอบกับสังคมว่า
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังมีการเคลื่อนไหว
และยังสามารถก่อเหตุเพื่อสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
และสิ่งที่ออกมา “ตอกย้ำ”
ให้เห็นว่า ความไม่สงบยังคงมีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ
การที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รอง ผบ.ตร. ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า
จากการตรวจสอบเว็บไซต์ของ “กลุ่มรัฐอิสลาม” หรือ
“ไอเอส” ที่พบว่าในรอบ 1
ปีที่ผ่านมาเว็บไซต์ของกลุ่มไอเอสเพิ่มขึ้นจาก 100,000
เว็บไซต์ เป็น 200,000 เว็บไซต์
และเคลื่อนไหวอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึง 50
เว็บไซต์
แน่นอนว่าข่าวนี้ไม่ใช่ “ข่าวดี”
กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ถึงจะเป็น “ข่าวร้าย”
ก็เป็นเรื่องที่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องรับรู้
เพราะนี่คือการเคลื่อนไหวของ “สงครามการก่อการร้าย” โดยการใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือใช้โลกของไซเบอร์ในการขยายพื้นที่ก่อการร้ายและการปลุกระดม
เพื่อ “ปลูกฝัง” ความคิด
ความเชื่อ ในการชักนำคนเข้าสู่ขบวนการของรัฐอิสลามหรือไอเอส
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายสากลที่สร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้
การถอยร่นหรือข่าวการ “ยะญ่ายพ่ายจะแจ”
ของกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส หรือไอซิส
ในประเทศซีเรียและอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง
ไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วยแต่อย่างใด
เพราะวันนี้กองกำลังส่วนหนึ่งของไอเอสเคลื่อนไหวอยู่ในภูมิภาคดังกล่าว
แม้ว่าสงครามการระหว่างไอเอส กับกองทัพฟิลิปปินส์จะจบลงที่ชัยชนะของฝ่ายหลัง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขบวนการรัฐอิสลามจะหมดไป และจะไม่สามารถขยายตัว
อีกทั้งแน่นอนว่าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ก็คือหนึ่งในพื้นที่ “เป้าหมาย”
ของขบวนการรัฐอิสลาม
ความจริงแล้วความเคลื่อนไหวของทุกขบวนการที่มีเป้าหมายในการก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น
โดยข้อเท็จจริงต้องให้ประชาชนได้มีส่วนในการรับรู้ และต้องรับรู้อย่าง “เข้าใจ”
เพื่อที่คนในพื้นที่จะได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมมือกับรัฐหรือกับกองทัพในการที่จะยุติการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ความคิดของรัฐบาลและของกองทัพไม่ได้คิดถึง
“ข้อดี” ของเรื่องนี้
แต่กลับคิดว่าการ “ปกปิด”
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อมิให้ประชาชนรับรู้เป็นสิ่งที่ดีกว่า
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่ารัฐบาลและกองทัพมีส่วนในการช่วยเหลือขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ก่อการร้าย
วางระเบิด เข่นฆ่าผู้คนด้วยการปกปิด และสร้างความ “ไขว้เขว”
ว่าสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือบีอาร์เอ็นฯ
ทั้งที่ความจริง ณ
วันนี้สถานการณ์ของบีอาร์เอ็นฯ ทั้งในทาง “การทหาร” และ
“การเมือง” ไม่ได้เปรียบ
กอรมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แม้แต่นิดเดียว สงคราม 1,000
วันผ่านไปด้วยความ “ล้มเหลว” และ
“หลอกลวง” สมาชิกรุ่นเก่าเบื่อหน่าย
จึงต้องการสร้างเซลล์ใหม่ๆ เข้าสู่ขบวนการ
ซึ่งก็มาจากการหลอกลวงด้วยการใช้ยุทธศาสตร์ “มาลายู
อิสลาม ปาตานี” ซึ่งเป็นลูกไม้เก่าๆ เหมือนเดิม
บีอาร์เอ็นฯ โชคดีคือ ในขณะที่ “เพลี่ยงพล้ำ”
ทั้งการเมืองและการทหาร หน่วยงานความมั่นคงของรัฐกลับไม่รู้จัก “ซ้ำเติม”
ด้วยการนำความจริง ซึ่งเป็นความ “ชั่วร้าย”
ความ “เจ้าเล่ห์” ของบีอาร์เอ็นฯ
มาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้
แต่กลับไปปกป้องว่าความเลวร้ายทั้งหมดไม่ใช่การกระทำของบีอาร์เอ็นฯ จนกลายเป็น “เกราะกำบัง”
ให้กับศัตรูของประเทศชาติ
และปรากฏการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์นี้คือ
การที่ พล.ต.หาญพล เพชรม่วง ผบ.หน่วยเฉพาะกิจที่ 43จ.ปัตตานี
ซึ่งเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี เพื่อให้เอาผิดกับ “ผู้จัดการออนไลน์”
ซึ่งได้นำเสนอข่าวในประเด็นที่มีผู้เปิดเผยว่า
ถูกซ้อมทรมานจากเจ้าหน้า
นี่คือความขัดแย้งที่เกิดจาก “สงครามข่าวสาร”
ระหว่าง “กองทัพ” กับ
“สื่อมวลชน”
ถือเป็นเรื่องปกติของการรายงานข่าวที่ย่อมมี 2
ด้านเสมอ เมื่อกองทัพเสียหายจากการนำเสนอข่าวนั้น
ก็มีสิทธิในการที่จะใช้กระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น
ในขณะที่สื่อก็มีความพร้อมที่จะให้ตรวจว่า ข่าวที่นำเสนอไปเป็นเรื่อง “เท็จ”
หรือเป็นเรื่อง “จริง”
ต้องขอบคุณกองทัพที่เปิดโอกาสให้ใช้กระบวนการทาง
“กฎหมาย” เพื่อเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง
และปกป้อง เกียรติยศของหน่วยงาน แทนที่จะใช้ “อำนาจ”
โดยมิชอบ
ทั้งหมดคือ
ปรากฏการณ์ของสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ “ตอกย้ำ”
ให้ได้รับรู้ว่า วันนี้เราต้องอยู่กับ “ความเป็นจริง”
ที่บอกให้เรารู้ว่า ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยัง “เดินหน้าต่อไป”
และยังต้องใช้เวลาในการในการแก้ปัญหาอีกยาวนาน และนอก
จากนั้นยังเป็นการ”ตอกย้ำ”
ในข้อเท็จจริงที่ว่า “กระบวนการสร้างภาพ” ไม่ใช่หนทางของการดับไฟใต้อย่างแน่นอน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น