โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561

การท่องคาถาว่าผู้จุดไฟใต้คือ “แก๊งอิทธิพล” ไม่ใช่ BRN ฤๅเป็นยุทธการ “เคาะกะลา” ที่เลียนแบบกันมา

การท่องคาถาว่าผู้จุดไฟใต้คือ แก๊งอิทธิพลไม่ใช่ BRN ฤๅเป็นยุทธการ เคาะกะลาที่เลียนแบบกันมา 













 ไชยยงค์ มณีพิลึก

สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ ความรุนแรงยังมีอยู่ แต่ลดความถี่ลง และที่เกิดขึ้นถ้าฟังจากปากของ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งมั่นใจว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดจาก ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นผู้ก่อเหตุ เพื่อสร้างสถานการณ์ เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์แห่งธุรกิจผิดกฎหมายเอาไว้

ล่าสุดคือ ฆ่าล้างครัว 3 ศพ  ที่บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ตระกูลนี้มีอาชีพเลี้ยงควายเกือบ 100 ตัว มีความขัดแย้งกันเองตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาฆ่ากันไปฆ่ากันมา ตายไปแล้วกว่า 10 ศพ และเชื่อว่า 3 ศพนี้ยังไม่ใช้ 3 ศพสุดท้าย

แต่ประเด็นสำคัญของคดีนี้อยู่ที่การให้ข่าวกับสื่อของ พล.ต.จตุพร กลัมพะสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี ที่ฟันธงว่า การฆ่าล้างครัวครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ร่วมอยู่ในกลุ่มของคนร้ายด้วย

เพียงแต่ยังไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่กล่าวถึงเป็นใคร ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายปกครอง เพราะเจ้าหน้าที่ต้องควานหาหลักฐานและพยานให้ได้ก่อนที่จะทำการจับกุม

ซึ่งก็เป็นคดีที่คล้ายๆ กับหลายคดีที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ในการก่อเหตุแต่ละครั้งต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ หรือไม่ก็เป็นกองกำลังท้องถิ่น เช่น อาสาสมัครทหารพราน และอาสาสมัครรักษาดินแดน รวมทั้ง ชรบ.หรือชุดคุ้มครองหมู่บ้า ตำบล เป็นคนร้ายร่วมด้วย

เช่นเดียวกับ ปิดถนนยิงนายก อบต.ปิยามุมัง” อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อปี 2560 ที่สุดท้ายแล้วพบว่า มี เจ้าหน้าที่รัฐร่วมอยู่ในขบวนการสังหาร

เช่นเดียวกับ ฆ่าล้างครัว 3 ศพที่บ้านน้ำดำที่ผลจากการตรวจสอบปลอกกระสุน พบว่า เป็นอาวุธปืนที่ แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ใช้ในการก่อเหตุในพื้นที่มาแล้วหลายคดี

ตรงนี้อย่างได้แปลกใจ และอย่าได้หลงประเด็นว่า เป็นการลงมือของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นประเด็นของความมั่นคง เพราะเดี๋ยวจะมีการ หลงทิศ ผิดทางและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ต้องจ่าย เงินเยียวยาโดยใช่เหตุอีก

ที่เป็นอย่างนี้เพราะแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่สวมเสื้อของ ท้องถิ่นและ ท้องที่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็น ผู้ทีมีอิทธิพลในพื้นที่เป็นพวกเดียวกัน และแม้แต่กองกำลังท้องถิ่นในพื้นที่ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกเดียวกับ แนวร่วมของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ

ปืนที่ใช้ในการสังหารหรือในการก่อเหตุ จึงเป็นปืน กองกลางที่เจ้าหน้าที่รัฐ กองกำลังท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นบางกลุ่มสามารถนำมาใช้ในการก่อเหตุได้ และหลังก่อเหตุแล้วสามารถเบี่ยงเบนประเด็นให้เจ้าหน้าที่ ผู้อ่อนหัดและต้องการ ปิดคดีเร็วเข้าใจผิดว่า เป็นการลงมือของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน

กลายเป็น คดีความมั่นคง ทั้งที่เป็นเรื่อง ล้างแค้นจากเรื่องผลประโยชน์และความขัดแย้งส่วนตัว
ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นอกจาก เจ้าหน้าที่รัฐและ มือปืนรับจ้างเป็นพวกเดียวกับแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนแล้ว ผู้มีอิทธิพล ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ บางกลุ่ม บางคน ยังสามารถใช้ความเป็น เครือข่ายความเป็น ญาติพี่น้องและเป็น พวกเดียวกันสั่งการ หรือขอแรง หรือขอช่วยแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ ให้ จัดการศัตรูที่ขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์หรือแก้แค้นเรื่อง ส่วนตัวได้อีกต่างหาก

เช่น คดีสังหารโหดอิหม่านยะโกบ หร่ายมณี อิหม่ามมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีที่ผ่านหลายปี แต่เจ้าหน้าที่รู้อยู่เต็มอกว่าผู้ตายขัดแย้งกับใคร และใครคือผู้บงการ แต่สุดท้ายทำได้แค่จับกุมแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน และสรุปว่าเป็นเรื่องคดีความมั่นคง

ที่เขียนถึงประเด็นนี้มายืดยาว เพียงเพื่ออยากให้สังคมได้รับรู้ความจริงประการหนึ่งว่า ผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐ และกองกำลังท้องถิ่น กับแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ต่างเป็นพวกเดียวกันได้ ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับแนวทางของ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่จะจัดการกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เพียงแต่ขอให้ ทำจริง” และ “เอาจริง กับคนกลุ่มนี้
เนื่องเพราะที่ผ่านมาผู้นำของกองทัพภาคที่ 4 หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต่างรู้ดีว่าการค้ายาเสพติด การค้าน้ำมันเถื่อน การตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกที่ดิน การทำธุรกิจเถื่อนทั้งหมดในทุกรูปแบบที่ดำรงอยู่และเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งนั้น เป็นเพราะคนเหล่านี้เป็น ส่วนหนึ่งในขบวนการแบ่งแยกดินแดน และเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งก็เป็นคนที่รับผลประโยชน์จากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

แต่ไม่เคยมีผู้นำคนไหนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้ง เลขาธิการ ศอ.บต. และของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ที่จะ จริงจังกับการปราบปรามและจับกุมผู้มีอิทธิพลต่างๆ ซึ่งที่จับๆ กันได้ หรือแม้แต่การจับบ่อนการพนันในพื้นที่ จ.สงขลา ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นเพียงการจับเพื่อให้ เปิดใหม่และต้อง จ่ายส่วยให้กับหน่วยที่ไปจับเท่านั้น

สิ่งที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการจับกุมหรือปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่ “อิงแอบทั้งกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนและเจ้าหน้าที่รัฐคือ การปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส โค่นป่าและแปรรูปไม้เถื่อนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยการป้องกันทำไม่ได้ผลมาตลอด เพราะเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่สวมเครื่องแบบท้องที่ ท้องถิ่น ส่วนใหญ่เป็นพวกเดียวกับ นายทุนนั่นเอง

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและกองกำลังท้องถิ่นรวมแล้วกว่า 80,000 นาย หรือเดินกันให้ขวักไขว่อยู่ในพื้นที่ แต่กลับไม่สามารถป้องกันการทำลายหรือบุกรุกป่าของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ได้แม้แต่กระผีกริ้น

ถ้าคิดว่าปัญหาของความไม่สงบที่เกิดขึ้นยาวนานกว่า 13 ปี หลักใหญ่ ใจความมาจากเรื่อง ผลประโยชน์และเกิดจาก ผู้มีอิทธิพลตามความเชื่อของแม่ทัพภาคที่ 4 ก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วย ทั้งทหาร ตำรวจ ปปส. ศุลกากร สรรพสามิต ฝ่ายปกครอง ดำเนินการกับผู้มีอิทธิพล ซุ้มมือปืน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นที่เป็น ผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นอย่างจริงจัง ซึ่งน่าจะง่ายกว่าการไปจับกุม แนวร่วมและ แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นไหนๆ

เพราะผู้มีอิทธิพล ผู้ค้ายาเสพติด ผู้เปิดบ่อนการพนัน ผู้ตัดไม้ทำลายป่า เจ้าของหวยรายใหญ่ ฯลฯ คนเหล่านี้จับกุมไม่ยากหรอก แค่เห็น สีเขียวหรือ สีกากีก็เข่าอ่อนแล้ว ซึ่งที่ผู้มีอิทธิพลอยู่ได้ก็เป็นเพราะมีการใช้ ธนบัตรเป็น ใบเบิกทางทั้งนั้น

ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลสิ่งที่เรียกกันว่า ส่วย เท่านั้นเอง
วันนี้ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเชื่อว่า ผู้ก่อการร้ายตัวจริงคือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็นฯเรื่องผู้มีอิทธิพล เป็นเพียงตัวประกอบหนึ่งของความไม่สงบเท่านั้น แต่เมื่อ ผู้นำกองทัพเชื่อมั่นว่าไม่ใช่ ก็ต้องให้เครดิตกับผู้ที่เป็นผู้นำ เพราะใครผิด ใครถูก สถานการณ์ในพื้นที่และกาลเวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว

หวังว่า ยุทธการประโคมโหมโห่เรื่อง ผู้มีอิทธิพลคือ ผู้ร้ายในการสร้าง ไฟใต้จะไม่ใช่แผนการ เคาะกะลาอย่างที่คนสีกากีใน ประเทศสารขันธ์ประเทศทำกัน เพื่อให้ กลุ่มผู้มีอิทธิพลชักขบวนเดินพาเหรดเข้ามา สวามิภักดิ์กับ ข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น