โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

ขอให้ จยย.บอมบ์กลางตลาดยะลานำไปสู่ข้อสรุปได้เสียทีว่า “พลเอก” กับ “พลโท” สังคมไทยควรจะเชื่อถือใคร

ขอให้ จยย.บอมบ์กลางตลาดยะลานำไปสู่ข้อสรุปได้เสียทีว่า “พลเอก” กับ “พลโท” สังคมไทยควรจะเชื่อถือใคร 


คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก




   
     
จักรยานยนต์บอมบ์ที่หน้าตลาดพิมลชัย หรือตลาดรถไฟ ในเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อเช้าตรู่วันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 ศพและบาดเจ็บร่วม 30 คน ถือเป็นเหตุร้ายครั้งใหญ่อีกครั้งสำหรับพื้นที่ “เซฟตี้โซน” แห่งนี้

เนื่องจากเป็นเวลากว่า 2 ปีที่เหตุร้ายแบบ “คาร์บอมบ์” และ “จยย.บอมบ์” ได้ห่างหายจากเขตเศรษฐกิจของนครยะลา

แสดงให้เห็นว่า “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ติดตามความเคลื่อนไหวของการป้องกันเมืองเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา เมื่อสบโอกาส หรือเพราะเกิดมาช่องโหว่ในพื้นที่เซฟตี้โซนเกิดขึ้น โจรใต้ก็ปฏิบัติการก่อเหตุร้ายในทันที โดยที่ไม่ต้องรอ “วันสัญลักษณ์” ตาม “ปฏิทินโจร” แต่อย่างใด

ดังนั้นปฏิบัติการของโจรใต้ครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่บอกให้ทุกคนได้รู้ว่า โจรใต้ไม่ได้หยุดยั้ง “การใช้ความรุนแรง” ในการก่อเหตุร้าย

ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เซฟตี้โซนทั้ง 7 หัวเมืองใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงต้องทำงานหนัก แนวป้องกันจะต้องไม่รั่ว เพราะถ้าแนวป้องกันมีช่องว่างเมื่อไหร่ คาร์บอมบ์และจยย.บอมบ์ หรือระเบิดแสวงเครื่องในรูปแบบต่างๆ จะต้องเกิดขึ้นเพื่อสร้างความสูญเสียในทันที

ระเบิดและความสูญเสียที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดที่ตลาดพิมลชัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในความรู้สึกของคนในพื้นที่

แต่ที่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่คือ ท่าที่ของ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ซึ่งลงความเห็นชนิดสวนควันระเบิดว่า ระเบิดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นเรื่องของ “ผู้มีอิทธิพล” ในพื้นที่สั่งการให้ก่อเหตุร้าย เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของกลุ่มตน ต้องการสร้างสถานการณ์ให้เห็นภาพของความรุนแรงในพื้นที่ เพื่อไม่ต้องการให้ “ทุนต่างถิ่น” เข้ามาลงทุนในพื้นที่

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ “แม่ทัพ” ท่านนี้พยายามที่จะให้ข้อมูลผ่านสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า “บีอาร์เอ็นฯ” และ “พูโล” ซึ่งเป็นชื่อเรียกขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้นั้นหมดสิ้นไปนานแล้ว

เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเวลานี้เป็นเรื่องของผู้มีอิทธิพลไม่กี่ตระกูลในพื้นที่ใช้ “โลโก้” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ในการสร้างความเข้าใจผิด เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นว่า ความรุนแรงหรือความไม่สงบที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นเรื่องของบีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้สั่งการ

กล่าวสำหรับคำว่า “ตระกูลใหญ่” ไม่กี่ตระกูลที่ถูกกล่าวอ้าง จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ของคำถามที่ติดตามมากับ จยย.บอมบ์ที่ตลาดพิมลชัยในทันที เพราะตระกูลใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็น “ตระกูลนักการเมือง” และ “ตระกูลนักธุรกิจ” พบว่ามีอยู่ไม่มากนัก

ถ้าระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่เกี่ยวกับบีอาร์เอ็นฯ ตามที่แม่ทัพท่านเชื่อ ตระกูลใหญ่เหล่านั้นมี “ศักยภาพ” และ “กล้าหาญ” เพียงพอในการที่จะจัดตั้งขบวนการ โดยการการเอาชื่อบีอาร์เอ็นฯ มาบังหน้าเพื่อเข่นฆ่าประชาชนและทำลายบ้านเมืองจริงล่ะหรือ

และถ้าตระกูลใหญ่ที่ทำธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งก็มีไม่กี่ตระกูล และส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ตระกูลเหล่านี้มีเหตุผลอะไรในการไป “ว่าจ้าง” ให้มีการก่อการร้าย วางระเบิด ก่อวินาศกรรมจนสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินผู้คนจำนวนมาก เพียงเพื่อให้สังคมภายนอกเห็นว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่น่ากลัว และไม่น่าที่จะเข้ามาท่องเที่ยวหรือมาลงทุน

ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้วันนี้ มีการลงทุนอะไรบ้างที่ให้ผลกำไรมหาศาล จนนักลงทุนตระกูลใหญ่ต้องสร้างกองกำลังด้วยการแอบอ้างบีอาร์เอ็นฯ เพื่อป้องกันมิให้ทุนต่างถิ่นเข้ามาแสวงหาผลกำไร และเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจกับตนเอง

แท้จริงแล้วประเด็นเหล่านี้มองอย่างไรก็ไม่มีความชัดเจน
สิ่งนี้ยืนยันได้จากในการจับกุมหรือควบคุมตัวโจรใต้เข้าสู่ “กระบวนบวนการซักถาม” ยังไม่เคยมีโจรใต้คนไหนที่ให้การพาดพิงว่า ถูกว่าจ้างจาก “นายทุนในพื้นที่” ให้ปฏิบัติการ มีแต่ให้การว่าถูก “ครูสอนศาสนา” บ่มเพาะเข้าสู่ขบวนการเพื่อการแบ่งแยกดินแดนเกือบทั้งสิ้น

ดังนั้นเหตุผลที่ถูกอ้างว่า ระเบิดในตลาดพิมลชัยและที่อื่นๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่เรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่ฝีมือแนวร่วมของบีอาร์เอ็นฯ แต่เป็นการสั่งการของนายทุนตระกูลใหญ่ในพื้นที่ เพื่อป้องกันมิให้นักลงทุนนอกพื้นที่เข้ามาลงทุนแย่งชิงผลประโยชน์

จึงยังเป็นเหตุผลที่ “ฟังไม่ขึ้น” แถมมีแต่จะสร้าง “ความสับสน” ให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก
กรณีนี้แม่ทัพภาคที่ 4 จะต้องสร้างความกระจ่างแจ้งให้กับสังคมให้ได้ อย่างน้อยต้องมีหลักฐานในการจับกุมนายทุนตระกูลใหญ่ ไม่ว่าเป็น “มุสลิม” หรือ “พุทธ” หรือ “คนไทยเชื้อสายจีน” เพื่อสร้างความถือถือให้เกิดขึ้น และเพื่อที่จะได้ “ขุดรากถอนโคน” ตระกูลใหญ่เหล่านั้น เพราะตระกูลเหล่านั้นคือกลุ่มผู้ทำลายบ้านเมืองที่กฎหมายจะต้องจัดการ

ณ วันนี้สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความ “ย้อนแย้ง” เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะหากเชื่อผู้นำในที่ปฏิบัติการในพื้นที่ นั่นคือแม่ทัพภาคที่ 4 ว่าไม่มีขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เหตุร้ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องความต้องการแบ่งแยกดินแดน หรือบีอาร์เอ็นฯ ปิดตำนานไปนานแล้วนั้น ในเมื่อไม่มีบีอาร์เอ็นฯ ไม่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน

แล้วทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยังคงสั่งการให้ พล.อ.อักษรา เกิดขึ้น หัวหน้าพูดคุยสันสุข ไปเจรจากับ “กลุ่มมาราปาตานี” อีกทำไม

แล้วทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยังพยายามให้ ดาโต๊ะซัมซามิน คนของมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติสุขติดต่อให้ “ดูลเลาะ แวมะนอ” ผู้นำหมายเลข 1 ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เข้าร่วมโต๊ะพูดคุย

แล้วทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ไม่หักขาโต๊ะพูดคุยสันติสุขไปเสียให้สิ้นเรื่อง เพราะให้คงอยู่ก็มีแต่จะสิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชน เปลืองเวลา

แล้วทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยังดันทุรังปล่อยให้โต๊ะพูดคุยสันติสุขเดินหน้าต่อ ทั้งที่มีแนวโน้มว่าอาจจะกลายเป็น “ตลกคณะใหญ่” ไปเสียก็ได้ หากปล่อยให้มีการพูดคุยกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่ไม่มีตัวตนแล้ว

และที่สำคัญระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ในฐานะท่านผู้นำประเทศ กับ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้นำในพื้นที่ และเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งการเพื่อการดับไฟใต้ ระหว่าง 2 นายพลนี้จะให้ประชาชนจะเชื่อใครดี เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นของทั้ง 2 คนในวันนี้มันย้อนแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด

ระหว่าง “นายพลเอก” ที่เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศ กับ “นายพลโท” ที่เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นคนที่ทำงานเกาะติดพื้นที่ ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ตายจริง เจ็บจริง สูญเสียหรืออาจจะสูญสิ้นในทรัพย์สินจริง เขาควรจะเชื่อใครดี

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ปักหมุดหมาย”ไว้ว่า ในห้วงปี 2562 หรือปีหน้าสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้อง “ยุติ” แต่จะจบแบบไหนและอย่างไร ถึงวันนี้ยากที่ใครจะคาดเดาได้ เพราะยังแทบไม่เห็นหนทางและการชี้นำใดๆ

หรือควรจะบอกกับคนทั้งโลกว่า เวลานี้สถานการณ์ไฟใต้ที่คุโชน ไม่มีขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ไม่มีแม้แนวคิดของการแบ่งแยกดินแดน เรื่องทั้งหมดในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ตระกูลใหญ่ 4-5 ตระกูล ซึ่งเป็นผู้บงการให้เกิดความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ในพื้นที่ไว้กลับกลุ่มของตนเอง

แล้วอย่างนั้นที่ผ่านๆมา ซึ่งมีอดีตแม่ทัพหลายท่าน มีอดีตนายพลหลายนาย รวงมถึงหน่วยข่าวทั้งหลายทั้งปวงที่เจาะลึกถึงรายละเอียดของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ จนเห็นภาพชัด เรื่องราวที่ผ่านๆ มาล้วนเป็นเรื่องของการ “โกหก” ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระนั้นหรือ

จึงได้แต่หวังว่า การก่อวินาศกรรมด้วย จยย.บอมบ์ที่ตลาดพิมลชัยครั้งนี้ ขอให้เป็น “ระเบิดแห่งความเปลี่ยนแปลง” ที่รัฐบาลและกองทัพจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนกับประชาชนว่า เป็นการสั่งการของคนในตระกูลใหญ่ในพื้นที่ หรือเป็นเรื่องของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ก่อเหตุร้ายเพื่อการแบ่งแยกดินแดน

ไม่เช่นนั้นแล้วตลอด 14 ปีที่ไฟใต้ลุกโชนระลอกใหม่ กับงบประมาณกว่า 3 แสนล้านที่ถูกนำมาละเลงในพื้นที่เพื่อใช้ในการดับไฟใต้นั้น สิ่งนี้จะทำให้สังคมไทยและสังคมโลกมองได้ว่า เป็นเรื่องการ “สร้างสถานการณ์” เพื่อ “การค้ากำไร” โดยอาศัยบีอาร์เอ็นฯ และพูโลเป็นเป้าลวงเท่านั้นเอง


ขอบคุณ คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น