โฆษณา

จำนวนผู้เข้าชม

วิเคราะห์ เจาะลึก มุมมองการเมือง พบกับนายหัวไทรนักข่าวหัวเห็ด จาก ปลายด้ามขวานชายแดนใต้

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“ลุงตู่” ทำการบ้านนี้ให้เสร็จก่อนประชุม “ครม.ประยุทธ์ 5 สัญจรใต้” จะดีไหม?

ลุงตู่ทำการบ้านนี้ให้เสร็จก่อนประชุม ครม.ประยุทธ์ 5 สัญจรใต้จะดีไหม

คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย.2560 นี้จะมีปรากฏการณ์ ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมืองเกิดขึ้นใน จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา เนื่องเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำคณะและส่วนงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สงขลา โดยจะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ จ.ปัตตานีก่อน
ว่ากันว่านอกจากจะเป็นการประชุม ครม.สัญจรครั้งแรกหลังจากที่มีการปรับ ครม.ครั้งใหญ่แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับในวันที่ 27 พ.ย.เป็นวันลงคะแนน เลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศ แต่สำหรับในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหมายถึง จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส การเลือกตั้งอาจจะมีปรากฏการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งในจังหวัดอื่นๆ ของประเทศ

ดังนั้นจึงเชื่อว่าคนในพื้นที่จะได้เห็น การคุ้มกันหรือ การรักษาความปลอดภัยคณะของนายกรัฐมนตรีที่จะต้อง อึกทึกครึกโครมกว่าทุกๆ ครั้ง
ประเด็นสำคัญที่หน่วยงานในพื้นที่อย่าง กก.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ต้องการที่จะโชว์เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงคือ ความก้าวหน้าของ โครงการสามเหลี่ยมมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืนหรือ เมืองต้นแบบที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

ซึ่งโครงการนี้มีการ โฆษณาชวนเชื่อทั้งจาก ครม.ส่วนหน้า ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม เป็นหัวหน้า พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาได้ทุ่มเทโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วงถึง ความวิเศษของเมืองต้นแบบที่เป็นทั้งโครงการเกษตรและอุตสาหกรรมครบวงจร

ประหนึ่งว่าโครงการนี้จะเป็นการ พลิกฟ้า พลิกผ่ามือให้ อ.หนองจิก ซึ่งเป็น พื้นที่ยากจนติดอันดับ กลับกลายเป็นเมืองที่ มีอันจะกินในพริบตา
แต่สิ่งที่กลับกันคือ ประเด็นของคนสงขลาและคนสตูลที่ไม่ยอมรับ การแบ่งกลุ่มจังหวัดใหม่ของกระทรวงมหาดไทยและส่วนงานที่เกี่ยวข้อง

ที่ในเวลานี้มีการประกาศแบ่งพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ออกเป็น 2 ส่วนคือ กลุ่มจังหวัดภาคใต้รวม 11 จังหวัดคือ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สงขลาและสตูล กับ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดนแค่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส

เป็นการจัดแบ่งกลุ่มหรือแบ่งโซนพื้นที่โดยเอาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง สงขลาและสตูลไปรวมอยู่ในกลุ่ม 11 จังหวัดที่ไม่มีชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ทั้งที่โดยภูมิศาสตร์และโดยกายภาพของทั้งสงขลาและสตูลเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน

ซึ่งการจัดแบ่งโซนหรือแบ่งพื้นที่ครั้งนี้ ตัวแทนจากทุกภาคส่วนของ จ.สงขลา และ จ.สตูล ได้มีการประชุมและแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยแล้ว เพราะหากมีการให้สงขลาและสตูลไปอยู่ใน 11 จังหวัดภาคใต้ นั่นต้องกระทบกับแผนการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงอย่างไม่พักสงสัย

โดยมีการถามหาเหตุผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ความกระจ่างว่า ที่ให้ไปขึ้นอยู่กับกลุ่ม 11 จังหวัดภาคใต้ เพราะฝ่ายความมั่นคงต้องการที่จะเอาสงขลาและสตูลออกจากพื้นที่ “5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ก็เพื่อ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ในด้านความมั่นคงให้ดูดีเท่านั้น

เหมือนกับการจับโจรมาเปลี่ยนชื่อและ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้อยู่ แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนพฤติการณ์ของการเป็นโจรของคนผู้นั้นแต่อย่างใด ซึ่งสุดท้ายแล้วการแบ่งกลุ่มให้สงขลากับสตูลใหม่ นอกจากเพิ่ม ความสับสน”  และการทำแผนโครงการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้ สถานการณ์ความมั่นคงดีขึ้นแต่อย่างใด

โดยกลุ่มองค์กรภาคเอกชนที่เป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและสังคมของทั้ง 2 จังหวัดได้เตรียมการที่จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีแล้ว เพื่อแสดงความคิดเห็นในการที่จะให้สงขลาและสตูลยังอยู่ในกลุ่ม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนเดิม

แต่ผู้นำภาคเอกชนทุกคนก็ หวั่นไหวว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะคนที่เป็น ทหารมาตลอดชีวิตอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องเชื่อและให้น้ำหนักกับฝ่ายความมั่นคงมากกว่าองค์กรอื่นๆ อยู่แล้ว

พวกเขาก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าเสียงของภาคเอกชนและรวมเสียงของตัวแทนภาคประชาชนจะไม่แผ่วเบา หรือเป็นเสียงที่ไร้น้ำหนักเหมือนกับ ขนนกเพราะองค์กรภาคเอกชนและตัวแทนภาคประชาชนย่อมเข้าใจในเรื่องการพัฒนา เรื่องเศรษฐกิจและเรื่องของสังคมมากกว่าเหล่า ขุนทหารอย่างแน่นอน
สำหรับในเรื่องของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น การลงพื้นที่ของ ครม.สัญจรครั้งนี้คงจะเน้นที่ด้านการพัฒนาตามโครงการสามเหลี่ยม มั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มากกว่าในเรื่องของปัญหาการก่อการร้ายหรือการก่อความไม่สงบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

เนื่องจากเหตุผลที่แม่ทัพนายกองในพื้นที่ต้องออกมาประสานเสียงถึงความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พาคนกลับบ้านเรื่อง กำปงตักวาและเรื่อง การพูดคุยสันติสุขเพื่อทำความเข้าใจกับผู้เห็นต่างที่ได้ผล และงานด้านการพัฒนาพื้นที่ที่เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งจะสามารถดึงมวลชนมาอยู่กับภาครัฐได้มากขึ้น

แต่โดยข้อเท็จจริง ระเบิดแสวงเครื่องและ เสียงปืนที่มีความถี่น้อยลงในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย  ในห้วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาอาจจะมาจากสาเหตุในพื้นที่มีการ หาเสียงเพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดดังกล่าว

ซึ่งพบว่ามีความเคลื่อนไหวของ ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ อย่างคึกคัก เพราะการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเป็น งานการเมืองที่สำคัญยิ่งของบีอาร์เอ็นฯ ถ้าในพื้นที่มีการก่อเหตุร้ายมากขึ้น ย่อมกระทบกับงานการเมือง รวมถึงงานการวางฐานผู้นำศาสนาในแต่ละพื้นที่ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องเข้าปิดล้อม ตรวจค้นและลาดตระเวน อันเป็นอุปสรรคขัดขวางงานการเมืองของบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งปัจจัยตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ เหตุร้ายรายวันลดน้อยลง

จึงเชื่อว่าในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์นำ ครม.มาประชุมสัญจรที่ จ.สงขลา และลงพื้นที่ จ.ปัตตานี จะไม่มีทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิดรบกวนขุ่นข้องหมองใจอย่างแน่นนอน แต่หลังจากพ้นวันที่ 27-28 พ.ย.ที่จะถึง และรู้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามแล้วนั่นแหละ จึงจะได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ของการก่อการร้ายอีกครั้ง

ดังนั้นในการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สงขลาครั้งนี้ ประชาชนจะได้เห็นการทุ่มเทให้กับโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เงินนับแสนล้านบาทซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ไม่ใช่ยาหอม อันเป็นไปตามแนวทางใช้การพัฒนาเพื่อสยบงานด้านการเมืองของบีอาร์เอ็นฯ

แต่สำหรับความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่เมื่อได้ฟังได้เห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึง เม็ดเงินจำนวนหมื่นล้านแสนล้านที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทุ่มเทเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ ดับไฟใต้ด้วยงานด้านการพัฒนา สิ่งแรกที่คนในพื้นที่เห็นชัดไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าว และอุตสาหกรรมประมงครบวงจร หรือความเขียวขจีของสวนปาล์มน้ำมันและสวนมะพร้าวที่ เมืองต้นแบบอย่าง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
เพราะสิ่งที่คนในพื้นที่เห็นคือ เสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ยืนต้นโด่เด่มากกว่า 10,000 ต้น โดยที่ไม่มีแสงไฟแสงสว่างมาเกือบปีแล้วถึงกว่า 4,000 ต้น ได้เห็น สนามฟุตซอลในโครงการ 1 ตำบล 1 สนามที่สร้างแล้วไม่มีหลังคาคลุม รวมทั้งดันไปสร้างในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมหลายร้อยล้านบาท ซึ่งถูกทิ้งให้ชำรุด กลายเป็นสนามร้างที่ใช้การไม่ได้เป็นจำนวนมากในแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

รวมทั้งโครงการอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ผลาญงบประมาณหรือเป็นการใช้งบการพัฒนาที่ ไม่คุ้มค่าและ ไม่เอื้อประโยชน์กับประชาชน

รวมถึงการได้เห็นข่าวการทุจริตใน โครงการเซฟตี้สคูลหรือการติดตั้งกล้อง CCTV ในโรงเรียนของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องของ เรือเหาะมูลค่า 800 ล้านที่ขึ้นบินเพียง 6 ครั้งแล้วต้องถูกปลอดระวาง โครงการปรับภูมิทัศน์มัสยิด 300 ปีที่ได้ผู้รับเหมาที่ถูกฟ้องล้มละลาย จนกลายเป็นประเด็นขัดแย้งกับหลายภาคส่วน

ซึ่งทั้งหมดคือ โครงการพัฒนาเพื่อการดับไฟใต้ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นการ ประจานถึงความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานในพื้นที่ และกลายเป็นช่องทางก็การทำมาหากินของคนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวยกับ เงินทอนที่มาจากวิกฤตไฟใต้ทั้งสิ้น
นี่แค่เรื่องจิ๊บๆ ที่ยกมาเป็นเพียง หนังตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่บนแผ่นดินปลายด้ามขวานเท่านั้น ความจริงยังมีอีกสารพัดเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์จากงบพัฒนาและงบความมั่นคงใน 13 ปีของไฟใต้


อันน่าจะเป็น การบ้านให้กับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ในการประชุมสัญจรในครั้งนี้ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทุ่มเม็ดเงินเพื่อการพัฒนาอย่างไร ถ้าไม่สามารถป้องกันการทุจริตอย่างได้ผล คนที่ร่ำรวยหรือมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ย่อมเป็น นายทุนและ ข้าราชการหาใช่รากหญ้าที่เป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่แต่อย่างใด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น